ปรับตัวอย่างไร ไม่ให้สูญเสียอัตลักษณ์

มักมีคนพูดว่า “เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิตอล ยุคที่เป็นสังคมไร้พรมแดนจะทำให้วัฒนธรรมท้องถิ่นถูกกลืนกลาย และเกิดการผสมผสาน จนทำให้อัตลักษณ์และวัฒนธรรมของกลุ่มที่เปราะบางสูญหายไปในที่สุด”  ก็จริงบ้างส่วนหนึ่ง แต่สาเหตุของการถูกทำให้สูญเสียอัตลักษณ์ดั้งเดิมไม่ได้มาจาก “การเข้าสู่ยุคดิจิตอล” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานและเกิดขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ระบบการเมืองการปกครอง ภัยพิบัติ สงคราม เป็นต้น ที่ส่งผลให้เกิดการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ไปเป็นพลเมืองกลุ่มเล็กของประเทศปลายทาง ดังนั้นความท้าทายคือ จะดำรงรักษา สืบทอด และรื้อฟื้นอัตลักษณ์ของตนเองในสังคมใหญ่ได้อยางไร บทความนี้ ไอเอ็มเอ็น ขอชวนไปติดตามเรื่องราวของชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน ซึ่งมีรูปแบบการปรับตัวที่น่าสนใจมาก

อิ้วเมี่ยน คือ ใคร

สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยนนั้น เดิมทีก็อาศัยอยู่อย่างสงบสุขในประเทศจีน แถบนานจิง เป็นชาติพันธุ์ที่มีความรุ่งเรือง ปกครองด้วยระบบกษัตริย์ มีเครื่องแต่งกายที่โดดเด่น ชำนาญด้านการปักผ้า และเครื่องเงิน  “อิ้วเมี่ยน” เจอวิกฤติทางด้านวัฒนธรรมคล้าย ๆ กับอีกหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ม้ง อาข่า หรือกะเหรี่ยง ที่ต้องอพยพหนีสงคราม ไปยังประเทศที่ 3 โดยเรื่องราวเริ่มต้นขึ้นประมาณ ปี พ.ศ.  2380 เกิดภัยแล้งต่อเนื่องยาวนาน 3 ปี แถมยังถูกกวาดล้างกดขี่จากจีนด้วย จึงทำให้ตัดสินใจอยพยพลงมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้แล้วขึ้นฝั่งที่มณทลกวางตุ้ง ก่อนจะแยกย้ายกันไปคนละทิศทาง บ้างไม่อยากไปไหนไกลก็ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในมณทลกวางสี และยูนนาน ที่เหลือก็เดินทางเข้าเวียตนาม ลาว พม่า และไทย โดยกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงไทยประมาณปี พ.ศ. 2385 ตั้งชุมชนอยู่ในเขตเชียงราย และจังหวัดน่าน และมีชุมชนใหญ่อยู่ที่ดอยภูลังกา จากนั้นก็มีตามมาอีก 3 ช่วง จนถึงประมาณ ปี พ.ศ. 2518 (สิ้นสุดสงครามเวียดนาม) กลุ่มที่มาถึงประเทศไทยถือว่าโชคดีกว่ากลุ่มอื่น ๆ สามารถดำงรงชีวิตได้อย่างสงบสุข ได้รับพระราชทานโอกาสให้ผู้ที่มีฝีมือเข้าไปถวายงานในวัง ทั้งเป็นช่างเงินหลวง รับราชการ  ประกอบธุรกิจ เป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตหลายคน  

ส่วนกลุ่มที่เลือกที่อยู่ต่อในประเทศจีน ก็เจอพิษนโยบายปฏิวัติวัฒนธรรมของท่านประธานเหมา ในช่วงปี 2506 -2512 จนแทบไม่หลงเหลืออัตลักษณ์อะไรอีกเลย ทางการจีนใช้คำเรียกรวม ๆ ว่า “เหยา” ซึ่งมีความหมายไม่ดีนัก และยังหมายรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ด้วย

กลุ่มที่อพยพไปอยู่เวียตนามและลาว ยังไม่ทันไรก็ต้องเจอกับสงครามเวียตนาม ทำให้คนอิ้วเมี่ยนจำนวนไม่น้อยต้องหนีไปอยู่ประเทศที่ 3 ทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ และเดนมาร์ค ดังนั้นกลุ่มที่อยู่ในไทยจะยังคงมีอัตลักษณ์ และวัฒนธรรมค่อนข้างสมบูรณ์

ภาพจำลอง พระราชสาส์น จากพระเจ้าผิงหวาง เปรียบเหมือนหนังสือเดินทางออกให้กับชาวอิ้วเมี่ยนที่เดินทางไปยังแคว้นต่าง ๆ

การปรับตัวของอิ้วเมี่ยนน่าสนใจอย่างไร

แม้จะเจอกับวิกฤติต่อเนื่องยาวนาน แต่พอเริ่มตั้งตัวได้ คนเมี่ยนก็ร่วมกันรื้อฟื้นวัฒนธรรมและองค์ความรู้ของตนเอง โดยช่วยกันคนละไม้คนละมือตามความถนัด และชูองค์ความรู้ที่โดดเด่นเป็นจุดขาย สร้างการยอมรับในสังคม โดยเฉพาะหัตถกรรมเครื่องเงินและผ้าลายปักเมี่ยน  นอกจากได้รับพระราชทานโอกาสให้เข้าถวายงานเป็นช่างฝีมือในวังแล้ว ปัจจุบันมีบางคนเป็นเจ้าของกิจการร้านเครื่องเงินและเครื่องประดับใหญ่หลายแห่ง ทั้งจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกด้วย  ส่วนคนที่ถนัดงานผ้า ก็เปิดห้องเสื้อลายผ้าอิ้วเมี่ยน มีทั้งแบบดั้งเดิมและชุดประยุกต์ ราคาตั้งแต่หลักหมื่น ถึงหลักแสน สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนเมี่ยนภาคภูมิใจในองค์ความรู้ของตนเอง และไม่อายที่จะบอกกับใครต่อใครว่า “ฉันเป็นอิ้วเมี่ยน”

อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ เรื่องของภาษา พบว่าคนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่ใช้ภาษาเมี่ยน หรือสื่อสารได้บ้างด้วยบทสนทนาทั่วไป บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามหาทางแก้ไขปัญหานี้กันอย่างเต็มที่ สุดท้ายก็เห็นว่าจำเป็นต้องมีแบบเรียน เขียนอ่าน เพื่อให้ลูกหลานได้ร่ำเรียน จะได้ไม่หลงลืมภาษาบรรพบุรุษ และสืบทอดต่อไปได้อย่างมั่นคงกว่าการถ่ายทอดแบบปากต่อปาก จึงเริ่มเรียบเรียงและประดิษฐ์ภาษาเขียนขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ แต่ปัญหาคือ ประชากรเมี่ยนนั้นกระจัดกระจายกันไปอยู่หลายประเทศ เมี่ยนในจีนก็ประดิษฐ์อักษรจากภาษาจีน  เวียตนาม ไทย ลาว ก็ประดิษฐ์อักษรขึ้นจากภาษาราชการของประเทศที่ตนอยู่  พอเป็นแบบนี้เมี่ยนในต่างประเทศก็อ่านไม่ออก  มีการพัฒนาตำราเขียนถึง 9 ฉบับ เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2476) จนมาสิ้นสุดที่ฉบับที่  9 ในปี 1984 (พ.ศ. 1527) มีข้อสรุปว่าให้ใช้อักษรโรมันเป็นหลัก เพราะอ่านออกกันเป็นส่วนใหญ่

ทางด้านนักวิชาการ รศ.ดร. ชรินทร์ มั่งคั่ง คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้คำแนะนำว่า ถ้าต้องการให้คนรุ่นใหม่ หันมาสนใจเรียนภาษาตนเองต้องสร้างแรงจูงใจด้วย เช่น ฝรั่ง หันมาเรียนภาษาบาลี – สันสกฤติ เพราะต้องการเรียนตำราแพทย์โบราณ เหล่ามิชชันนารีฝึกเรียนภาษาท้องถิ่นเพราะต้องการเผยแผ่ศาสนา เป็นต้น

รศ. ดร. ชรินทร์ มั่งคั่ง คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

“ภาษาแสดงถึงอัตลักษณ์ที่ยังคงอยู่มากที่สุด เพราะบางครั้งเราไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าประจำเผ่าทุกวัน ดังนั้นการอนุรักษ์ภาษาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและท้าทายมาก เพราะภาษาเมี่ยนไม่ใช่ภาษาเศรษฐกิจ หรือภาษาเทคโนโยลีที่คนอื่นจำเป็นต้องเรียนรู้ ดังนั้นเมี่ยนจึงต้องหาคุณค่า หรือแรงจูงใจให้ลูกหลานอยากเรียนรู้ว่าภาษาของตนเอง”

บทบาทของคนรุ่นใหม่กับการรักษาอัตลักษณ์ของอิ้วเมี่ยน

นอกจากนี้ ยังมีลูกหลานอิ้วเมี่ยนอีกหลายคน อาศัยโอกาสและความถนัดของตนเอง เป็นช่องทางในการสื่อสารเรื่องราวของอิ้วเมี่ยนสู่สาธารณะ และเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงอัตลักษณ์ของชนเผ่าไว้

วราภรณ์ แซ่จ๋าว นักร้องอิ้วเมี่ยน

วราภรณ์ แซ่จ๋าว หรือ “งิ้ง ปุ๊” วัย 25 ปี หลังจากเรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย ก็กลับมาอยู่กับครอบครัวที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ตอนนี้เธอกำลังพัฒนาแบรนด์สินค้าแปรรูปอโวคาโด้ และลูกพลับ ซึ่งเป็นผลไม้ที่เศรษฐกิจของที่นั่น แต่คนอิ้วเมี่ยนส่วนใหญ่รู้จักเธอในนาม “นักร้องเสียงใส” งิ้งปุ๊ ถือเป็นนักร้องแถวหน้าของศิลปินอิ้วเมี่ยน เคยได้รับเชิญให้ไปร้องเพลงในชุมชนอิ้วเมี่ยนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย

เมื่อถามถึงแรงบันดาลใจในการร้องเพลงอิ้วเมี่ยน งิ้งปุ๊ บอกว่าเธอชื่นชอบการร้องเพลงอยู่แล้วตั้งแต่เด็ก แต่ส่วนใหญ่ร้องเพลงไทยเป็นหลัก จนกระทั่งอายุ 15 ปี มีคนแนะนำให้ร้องเพลงอิ้วเมี่ยน พร้อมทั้งแนะนำให้รู้จักศิลปินรุ่นพี่ที่ช่วยแต่งเพลงให้ การหันมาร้องเพลงอิ้วเมี่ยน ทำให้เธอต้องกลับมาทบทวนและเรียนรู้ภาษาของตนเองเพิ่มขึ้นอีกเยอะมาก เนื่องจากคุณพ่อเป็นคนเชื้อสายลาว ดั้งนั้นในครอบครัวจะใช้ภาษาไทยสื่อสารกันเป็นส่วนใหญ่ ภาษาเมี่ยนที่พูดจึงเป็นแค่บทสนทนาทั่วไป ไม่ได้ลึกซึ้งมาก

“การร้องเพลงทำให้ได้ฝึกภาษา ได้พัฒนาภาษาตนเอง ทำให้ได้เรียนรู้และรู้สึกภาคภูมิใจว่า เราก็มีภาษาวัฒนธรรมของตนเอง แล้วพอมีเสียงตอบรับจากคนเมี่ยน ก็ทำให้มีกำลังใจมากขึ้น”

เมื่อมีกระแสตอบรับอย่างต่อเนื่องจากคนเมี่ยนด้วยกัน งิ้งปุ๊ จึงได้ค้นพบว่าสิ่งที่เธอทำไม่ใช่แค่การให้ความบันเทิงกับผู้ฟัง แต่ยังช่วยจุดประกายให้คนรุ่นหนุ่มสาวรุ่นใหม่อีกหลายคน ได้เกิดความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ วัฒนธรรม และภาษาของตนเอง และกล้าเปิดเผยตัวตนว่าเป็นคนเมี่ยนด้วย

“อยากฝากบอกคนรุ่นเดียวกันหรือคนที่เติบโตรุ่นใหม่ ให้ฝึกพูดภาษาของตนเองไว้ จงภาคภูมิใจที่เรามีภาษา วัฒนธรรม ไม่ต้องอาย อยากให้เปิดเผยและช่วยกันส่งเสริมให้คนเมี่ยนไปได้ไกลขึ้น”

งิ้ง ปุ๊ ยังแสดงความชื่นชมกลุ่มชาติพันธุ์อื่น และบอกว่าอยากให้คนอิ้วเมี่ยน มีความสามัคคีเหมือนกับชนเผ่าปกาเกอญอ อ่าข่า หรือม้ง ที่ไปได้ไกลและโด่งดังระดับโลกได้

สันติ บุญทวีกุล หรือครูเฟย

สันติ บุญทวีคุณ หรือ ครูเฟย คนรุ่นใหม่อีกคนที่พยายามสร้างหลักสูตรการเรียนการสอน “ชาติพันธุ์ศึกษา” และจะเริ่มทดลองสอนในโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เทอมหน้านี้

ครูเฟยเล่าให้ฟังว่า ช่วงแรกที่ตนเองได้เข้าไปสอนหนังสือในโรงเรียนสาธิตฯ ก็ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนว่าเป็น อิ้วเมี่ยน เพราะเห็นว่ายังมีบรรยากาศของความไม่เข้าใจวิถีอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ และกลัวว่าตนเองจะโดนล้อเลียนด้วย จนกระทั่งวันหนึ่งมีผู้ปกครองยกมือขึ้นถามในที่ประชุมว่า “ขอโทษครับอาจารย์ อาจารย์เป็นคนไทยหรือเปล่าครับ” ครูเฟยจึ่งตอบไปว่า “ผมเกิดบนแผ่นดินไทย สัญชาติไทยครับ แต่เป็นชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน”

“ผมต้องขอบคุณคุณพ่อ (ผู้ปกครอง) ท่านนั้นมาก ที่ถามคำถามนั้น และต้องขอบคุณตนเองที่กล้าตอบ และกล้าเปิดเผยตนเอง”

เหตุการณ์ในวั้นนั้น เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ครูเฟยกล้าเปิดเผยว่าตนเองเป็นชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยนต่อสาธารณะ ทุกวันศุกร์จะสวมชุดประจำเผ่าและคอยตอบคำถาม อธิบายกับเด็ก ๆ ว่าอิ้วเมี่ยนคือใคร และเป็นเหมือนการยกภูเขาออกจากอกพร้อมทั้งผลักดันให้ครูเฟยนำความรู้เรื่องสังคมพหุวัฒนธรรมมาสอนเด็ก ๆ ในชั้นเรียนด้วย

หลังจากนั้น ครูเฟยได้จัดกิจกรรมค่าอาสา พาเด็ก ๆ โรงเรียนสาธิตฯ ไปสอนหนังสือบนดอย สัมผัสกับวิถีชีวิตที่แตกต่าง ซึ่งช่วยเปิดโลกทัศน์ของเด็ก ๆ ให้เข้าใจความหลากหลายของสังคมไทย และล่าสุดก็ผลักดันหลักสูตรเรียนเสริมเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาติพันธุ์ด้วย

“ผมมองว่า บางครั้งการบูลลี่ในโรงเรียน ก็อาจไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ แต่เพราะเขาไม่เคยรู้มาก่อน ว่านอกจากสังคมเมืองแล้วยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ อยู่อีก ซึ่งต่างก็มีวัฒนธรรมที่งดงามและทรงคุณค่าไม่แพ้กัน”

อ้างอิง สมาคมอิ้วเมี่ยนประเทศไทย

บทความโดย A IMN