4 เรื่องเล่าจากผู้หญิงชนเผ่า ในวันที่สิทธิของสตรีชนเผ่าจะเบ่งบาน

ความเท่าเทียมระหว่างเพศเป็นประเด็นที่ถูกให้ความสำคัญในสังคมปัจจุบัน  แนวคิดในเรื่อง “ผู้หญิง ความมั่นคง และสันติภาพ” (Women, Peace and Security-WPS) ได้รับการประกาศเป็นมติของ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ 1325 (UN Security Council Resolution 1325) ตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 2000 ใจความของนโยบายดังกล่าว คือเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในทุกระดับการตัดสินใจ 

ประเทศไทยมีการร่วมรับรองแถลงการณ์ว่าด้วยการส่งเสริมสตรี สันติภาพ และความมั่นคงในอาเซียน ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 31 เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ความเท่าเทียมทางเพศถึงพูดถึงในสถานที่ทำงาน สถานศึกษา และกิจกรรมทางสังคม แต่สำหรับผู้หญิงในชนเผ่า ยังคงถูกความเชื่อและประเพณีบางอย่างกดทับ ยกตัวอย่างเช่น การประณามเมื่อผู้หญิงท้องก่อนแต่ง การที่ผู้หญิงต้องพยายามหาสามีเพื่อความปลอดภัยจากการถูกคุกคาม การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของผู้หญิงชนเผ่า ที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยง่าย ทั้งจากเรื่องระยะทาง ภาษาที่แตกต่าง รวมทั้งการรักษาชื่อเสียงของครอบครัว

ผู้หญิงชนเผ่าอยู่กับมายาคติเหล่านี้มาอย่างยาวนาน จนถึงวันที่พวกเธอรวมกลุ่มกันในนาม เครือข่ายสตรีชนเผ่าแห่งประเทศไทย IMN ได้รับโอกาสพูดคุยกับพวกเธอ ถึงประสบการณ์และการออกมาขับเคลื่อนเพื่อสิทธิของสตรีชนเผ่าในประเทศไทย

ผู้หญิงที่ดีของชนเผ่าปกาเกอะญอ

“ผู้หญิงที่ดีสำหรับชนเผ่าปกาเกอะญอ เราถูกสอนว่าต้องไม่ท้องก่อนแต่ง ต้องไม่เสียตัวให้ผู้ชายคนไหนนอกจากสามีตัวเอง”


อำพร ไพรพนาสัมพันธ์ ชนเผ่าปกาเกอะญอ จ.เชียงใหม่

อำพร ไพรพนาสัมพันธ์ สตรีชนเผ่าปกาเกอะญอ จ.เชียงใหม่ เธอได้แชร์ประสบการณ์ของตัวเอง ในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างในครอบครัว ทั้งดูแลลูก 2 คนและพ่อแม่ ดูแลค่าใช้จ่ายภายในบ้าน และทำสวนเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว อำพรคือเสาหลักของบ้าน ทั้งยังรับผิดชอบทำงานอาสาสมัครในชุมชน และเข้าร่วมกิจกรรมชนเผ่าในระดับภูมิภาค

อำพรเป็นคนหนึ่งที่อยากทำงานเพื่อส่วนรวมและมีส่วนร่วมกับพี่น้องชาติพันธุ์กลุ่มอื่นๆ แต่หลายครั้งเธอก็ต้องแบกรับค่าใช้จ่าย การเดินทางจากบนดอยเข้ามาในเมืองที่ต้องเหมารถรับจ้าง รวมทั้งการที่เธอต้องพาลูกของเธอมาด้วย

“เราอยากมีโอกาสในการออกไปเรียนรู้ข้างนอก แต่หลายครั้งผู้จัดงานมักพูดคำว่า ‘ให้โอกาสผู้หญิงแล้ว แต่ผู้หญิงไม่มาเอง’ คนที่พูดเขาไม่เข้าใจว่าที่ผู้หญิงออกมาไม่ได้ มันเกิดจากสาเหตุอะไร”

อำพรเล่าว่าการจะออกไปข้างนอกแต่ละครั้งนั้น ผู้หญิงต้องได้รับการอนุญาตจากครอบครัว ทั้งหน้าที่ความเป็นลูก ภรรยา และแม่ที่ถูกวางไว้ให้ผู้หญิงต้องรับผิดชอบ และไม่สามารถให้ใครมาทำหน้าที่เหล่านี้แทนได้ อำพรจึงอยากให้องค์กรที่เชิญผู้หญิงชนเผ่าไปร่วมงานเข้าใจ ในข้อจำกัดที่ผู้หญิงต้องเผชิญ

ในขณะเดียวเธอก็แก้ไขปัญหา ด้วยการติดเอาสินค้าไปขายตามงานต่างๆ ที่เธอไปเข้าร่วม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางและที่พักของเธอและลูก ที่ผู้จัดงานไม่สามารถครอบคลุมให้ได้

ทั้งเมื่ออำพรออกไปร่วมงานข้างนอก ก็กลับถูกตีตราจากมายาคติ ที่อำพรไม่ได้เป็นผู้หญิงในแบบที่ครอบครัวและชุมชนอยากให้เธอเป็น

“เราเป็นผู้หญิงที่ท้องก่อนแต่ง ทั้งยังเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว จะถูกตัดสินแล้วว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี และจะออกไปทำอะไรที่ไม่ดีข้างนอก”

อำพรกล่าวว่าผู้หญิงที่ดีตามค่านิยมชุมชนของเธอ คือผู้หญิงที่ไม่ขาดตกบกพร่องต่อหน้าที่ของตัวเอง ในการดูแลลูก ทำกับข้าว ทำไร่ทำสวน และหน้าที่ในความเป็นเมีย ที่ถึงแม้ผู้หญิงจะป่วย แต่ถ้าสามีต้องการมีเพศสัมพันธ์เธอก็ต้องยอม

“ถ้าผู้หญิงคนไหนไม่ยอม และสามีไปกินเหล้าหรือหาผู้หญิงคนอื่น เขาก็จะโทษว่าเป็นความผิดของผู้หญิง เพราะคุณไม่ทำหน้าที่เมียที่ดี”

อย่างไรก็ตามอำพรเลือกที่จะต่อต้านความเชื่อเหล่านั้น เธอใช้การศึกษามาพิสูจน์ว่าเธอสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ชาย อำพรตัดสินใจออกไปทำงานข้างนอก เพื่อหาความรู้และเครือข่ายที่ทำให้เธอมีกำลังใจ ในการลุกขึ้นมาขับเคลื่อนเรื่องสิทธิสตรี แม้อำพรจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน แต่เธอก็มีความสุขในสิ่งที่เธอเลือกและได้เป็นในสิ่งที่เธออยากเป็น

“แม่เคยใช้คำพูดกับเราว่า ‘ฉันจะคอยดูว่าเธอเรียนจบแล้วจะโยนฉันขึ้นสวรรค์ได้ไหม’ สิ่งนี้เขาเปรียบเทียบเรากับผู้ชาย ถ้าผู้ชายบวชแล้วจะสามารถพาพ่อแม่ขึ้นสวรรค์ได้ สุดท้ายเราก็มีโอกาสได้พาแม่ขึ้นเครื่องบิน ขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เป็นสวรรค์ในความคิดของเรา”

การต่อสู้กับวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ของผู้หญิงไทดำ

“ชายเป็นใหญ่เป็นสิ่งที่ซึมซับกันมาอย่างยาวนาน ว่าผู้ชายเป็นเพศที่เป็นผู้นำ แข็งแกร่ง ส่วนผู้หญิงต้องเป็นผู้ตาม”

ขวัญเมือง เรียนผง ชาติพันธุ์ไทดำ จ.เพชรบุรี

ขวัญเมือง เรียนผง ชาติพันธุ์ไทดำ จ.เพชรบุรี เธอเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ขวัญเมืองเป็นแม่หม้ายตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 40 ปี ทั้งยังผ่านประสบการณ์การถูกคุกคามทางเพศในที่ทำงาน

“มีผู้ชายเดินมาจับก้นเรา เราบอกว่า ‘เห้ย! มึงจับตูดกูได้อย่างไร’ จากนั้นเขามายืนข้างหลังแล้วเอามือมาโอบหน้าอกของเรา”

แทนที่จะยอมจำนน ขวัญเมืองตอบกลับไปว่า “มึงทำอย่างนี้ได้อย่างไร” จากนั้นเธอคว้าเอาเก้าอี้ฟาดผู้ชายคนนั้น จนทุกคนในที่ทำงานต้องมาช่วยกันห้ามปราบ

“เราบอกว่าถ้าอยากให้ยุติ มึงกราบตีนกูเดี๋ยวนี้และจ่ายเงินมา  70,000  บาท ไม่งั้นเราบอกเขาว่าให้เตรียมตัวออกจากงาน”

ขวัญเมืองกล่าวว่าด้วยนิสัยของผู้ชาย ที่มักมองว่าผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ แม้ทางกฎหมายจะให้สิทธิสตรีกับบุรุษเท่าเทียมกัน แต่ในพฤติกรรมจริงนั้น สังคมและจารีตฝังอยู่ในหัวผู้ชายว่า ผู้หญิงต้องยอมให้ผู้ชาย

“ผู้หญิงต้องยืนข้างผู้ชายไม่ใช่ยืนอยู่ข้างหลังและถูกกดขี่ แม้การมีคู่ครองเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ามีแล้วไม่ดีจะทนอยู่ไปทำไม”

ขวัญเมืองเป็นคนหนึ่งที่ตัดสินใจแยกทางกับสามี เพราะพฤติกรรมของฝ่ายชาย แม้ค่านิยมของชนเผ่าไทดำจะกล่าวไว้ว่า ผู้หญิงจะต้องมีผัวเดียวเมียเดียว  การตัดสินใจแยกทางของเธอ จึงถูกคัดค้านจากผู้อาวุโสในชุมชนที่ไม่เห็นด้วย

“เขาอยากให้เราตกอยู่เป็นทาส แต่ชีวิตเราต้องเดินไปข้างหน้า ลูกคนเดียวทำไมจะเลี้ยงดูไม่ได้ เราเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ทำให้พวกผู้ชายเห็นว่าเราอยู่คนเดียวได้อย่างมีศักดิ์ศรี”

ขวัญเมืองกล่าวว่าโลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว แม้สิทธิบางอย่างจะถูกครอบด้วยประเพณีและความเชื่อ แต่การที่ผู้หญิงชนเผ่าเริ่มตระหนักถึงสิทธิของตัวเอง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อที่ถูกส่งต่อกันมา แม้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในทันที แต่ทุกวันนี้สิทธิสตรีก็ได้รับการพูดถึงมากกว่าที่เคยเป็นมา

ทุกคนทุกเพศเท่ากัน บนเรือของอูรักลาโว้ย

“อูรักลาโว้ยถ้าอยู่ในเรือลำเดียวกัน ทุกคนจะต้องเป็นเหมือนกัน เพราะเรามีจุดประสงค์เดียวกันคือการให้เรือของเรากลับไปถึงฝั่ง”

 นารี วงศาชล จากชนเผ่าอูรักลาโว้ย

 นารี วงศาชล จากชนเผ่าอูรักลาโว้ย เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกสภาชนเผ่าพื้นเมืองภาคใต้ เรื่องราวของเธอแตกต่างไปจากขวัญเมืองและอำพร เพราะผู้หญิงในบริบทของชาวอูรักลาโว้ยมีอำนาจในการตัดสินใจร่วมกันกับผู้ชาย

“เราทำงานร่วมกับผู้ชาย แต่เรื่องในครอบครัว ผู้หญิงจะเป็นคนรับผิดชอบ และมีอำนาจในการตัดสินใจ”

นารีต้องรับบทหนักในการรับผิดชอบครอบครัว และทำงานข้างนอกบ้านด้วย เธอมองว่าผู้หญิงมีศักยภาพไม่ต่างจากผู้ชาย รวมทั้งผู้หญิงเองก็มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน เพื่อดูแลครอบครัวและชุมชน เธอมองว่าในสังคมปัจจุบันไม่ควรใช้เพศสภาพมาเป็นตัวตัดสินว่า ใครด้อยหรือเก่งกว่าใคร

นอกจากนี้ในเรื่องการเลือกคู่ครองของชาวอูรักลาโว้ย ทั้งหญิงและชายก็มีสิทธิในการเลือกคู่ครองได้ด้วยตนเอง โดยที่พ่อแม่จะไม่บังคับ ปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้นารีมีความรู้สึกว่า การเกิดเป็นผู้หญิงในชนเผ่าอูรักลาโว้ย ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกแปลกแยกจากชุมชน

“ด้วยวิถีวัฒนธรรมของชาวเลอูรักลาโว้ย เราเติบโตในครอบครัวที่พูดคุยได้ทุกเรื่อง ในชุมชนก็สามารถรับรู้แนวคิดเรื่องของความเท่าเทียมทางเพศ ในความเป็นชาวเล เราต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ในท้องทะเล”

สบตากับปิตาธิปไตย การขับเคลื่อนของเครือข่ายสตรีชนเผ่าแห่งประเทศไทย

“เราอยากเป็นผู้หญิงที่ตัดสินใจให้กับชีวิตตัวเองได้ แต่ถ้าสังคมไม่เปิดพื้นที่ให้กับผู้หญิง มันก็ยากที่เราจะเป็นตัวของเราในแบบที่เราอยากเป็น”

กัลยา จุฬารัฐกร ชาติพันธุ์ม้ง

กัลยา จุฬารัฐกร ชาติพันธุ์ม้ง เธอเป็นผู้จัดการเครือข่ายสตรีชนเผ่าแห่งประเทศไทย หน้าที่ของกลุ่มคือการรณรงค์เพื่อสิทธิสตรีชนเผ่า ผ่านการจัดฝึกอบรมให้กับกลุ่มผู้หญิง และให้ความรู้ทางด้านกฎหมาย รวมทั้งการพัฒนาทักษะอาชีพ

อีกบทบาทเธอก็ไม่ต่างจากผู้หญิงคนอื่น ที่ต้องรับภาระดูแลครอบครัว โดยชนเผ่าม้งนั้นมีวัฒนธรรมที่เมื่อผู้หญิงแต่งงานไปแล้ว จะไม่สามารถกลับไปนับถือระบบความเชื่อ ของครอบครัวตัวเองได้อีก  กัลยากล่าวว่าถ้าชีวิตหลังแต่งงานล้มเหลว ผู้หญิงจะกลายเป็นคนไม่มีบ้านและพื้นที่ทางศาสนา

“เป็นสิ่งที่กดดันผู้หญิงที่แต่งงานไปแล้ว ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข ดีร้ายอย่างไรก็ต้องทนอยู่ต่อไป”

ด้วยค่านิยมต่างๆ ที่กดขี่กัลยาและผู้หญิงชนเผ่าคนอื่น เธอจึงออกมาเรียกร้องสิทธิของตัวเอง ที่อย่างน้อยจะช่วยยกระดับให้ผู้หญิงมีชีวิตอยู่อย่างไม่กดดันจากครอบครัวและชุมชน ได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมมากยิ่งขึ้น

แม้เป้าหมายของเครือข่ายสตรีชนเผ่าแห่งประเทศไทย จะหนุนเสริมให้ผู้หญิงมีบทบาทในสภาชนเผ่ามากขึ้น แต่ในปัจจุบันผู้หญิงก็ยังไม่ได้อยู่ในระดับที่มีส่วนในการตัดสินใจมากเพียงพอ สังเกตได้จากในสัดส่วนของคณะกรรมการสภาชนเผ่าพื้นเมือง ที่มีผู้หญิงเพียง 4 คน จากทั้งหมด 15 คน แต่การที่จะให้ผู้หญิงไปมีบทบาทในระดับภูมิภาคมากขึ้นนั้น กัลยากล่าวว่าต้องเริ่มจากการเปิดใจของครอบครัวและชุมชน

“ถ้าผู้หญิงมีความมั่นคงในเรื่องของอาชีพ กินอิ่มนอนหลับ เราอาจไม่จำเป็นต้องเรียกร้องให้ผู้หญิงไปอยู่ในระดับภูมิภาคเลยก็ได้ ถ้าเขาไม่อยากเข้าไปอยู่ ขอเพียงแค่เปิดพื้นที่ให้เสียงของผู้หญิงเข้าไปถึงพื้นที่ตรงนั้นก็พอ” กัลยากล่าว

ทางด้านสุนี ไชยรส อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยรังสิต ที่ปรึกษาเครือข่ายสตรีชนเผ่าแห่งประเทศไทย ก็ให้ความเห็นว่าโครงสร้างของสภาชนเผ่าพื้นเมือง ควรมีสัดส่วนของผู้หญิงมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทในการทำงาน เพราะผู้หญิงเป็นข้อต่อสำคัญของชุมชน และผู้หญิงรับบทบาททั้งการเป็นลูก แม่ ย่าและยาย เป็นคนที่เข้าใจปัญหาในชุมชน เพราะผู้หญิงอยู่ในทุกรอยต่อของชุมชน ถ้าชุมชนให้พลังแก่ผู้หญิง ก็จะส่งผลต่อความแข็งแรงในชุมชน

“ถ้าผู้หญิงไม่มีบทบาท เขาก็จะไม่สามารถปกป้องชุมชนของเขาได้”

สุนี ไชยรส อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยรังสิต

โดยสุนีชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงชนเผ่าหรือผู้หญิงในเมือง ต่างมีปัญหาร่วมกัน เช่น โอกาสด้านการศึกษา ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือก ผู้ชายยังคงมีโอกาสมากกว่าในการเข้าถึงการศึกษา อันต่อมาคือเรื่องของปัญหาความรุนแรง จากทัศนคติชายเป็นใหญ่ที่ผู้หญิงทุกกลุ่มต้องเผชิญ รวมทั้งโอกาสในการทำงาน ที่ผู้หญิงมักได้รับค่าแรงต่ำกว่าผู้ชาย รวมทั้งผู้หญิงส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในสถานะแรงงานนอกระบบ ที่ไม่ได้รับการคุ้มครองจากรัฐสวัสดิการ

ทั้งนี้การขับเคลื่อนเรื่องสิทธิสตรี สุนีมองว่าผู้ชายเองก็สามารถมีส่วนร่วมในการช่วยกันผลักดัน

ได้ รวมทั้งปัจจุบันผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่ออกมาเคลื่อนไหว ก็ล้วนได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวที่มีเพศชายรวมอยู่ด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดผู้หญิงต้องตื่นตัว และลุกขึ้นมาขับเคลื่อนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง จึงจะมีพลังมากที่สุด ซึ่งก็ตรงกับความคิดของอำพร ที่ได้บอกไว้ว่า

“ในเมื่อทุกเรื่องมีผู้หญิงเกี่ยวข้อง จึงควรมีตัวแทนของผู้หญิงที่มาสะท้อนปัญหา แก้ไขปัญหาของตัวเอง เราไม่สามารถให้คนอื่นมาแก้ปัญหาให้เราได้ เพราะเขาไม่สามารถมองได้รอบด้าน ดังนั้นผู้หญิงควรมีบทบาท และมีส่วนร่วมในทุกระดับการตัดสินใจ”

โดยในตอนท้ายสุนีได้สรุปประเด็นเรื่องของสิทธิสตรีชนเผ่าไว้ว่า

“เวลาพูดถึงสตรีชนเผ่าคนจะ นึกถึงความล้าหลัง การขาดการศึกษา และความยากจน แต่ความจริงแล้วสถานการณ์ของผู้หญิงชนเผ่าในเชิงบวก  พวกเขาได้อยู่ท่ามกลางวัฒนธรรมประเพณี ความอบอุ่นในชุมชน มีภูมิปัญญาท้องถิ่น ถ้าเราเห็นภาพตรงนี้ เราก็จะเห็นพลังบวกที่ไม่ใช่ปัญหาไปซะทั้งหมดทีเดียว”

โดยในตอนท้ายสุนีได้สรุปประเด็นเรื่องของสิทธิสตรีชนเผ่าไว้ว่า จริงๆ แล้วผู้หญิงชนเผ่ามีบทบาทสำคัญในการทำงานร่วมกับเครือข่ายภาคประชาสังคมต่างๆ เสมอมา ทั้งเรื่องเยาวชน สิทธิสตรี และการขับเคลื่อนเรื่องสิทธิในที่ดินของชนเผ่า 

ผู้หญิงคือพลังสำคัญที่ควรได้รับการหนุนเสริม ให้มีพื้นที่ในการทำงานขับเคลื่อนร่วมกับชุมชน แม้วัฒนธรรมบางอย่างในชนเผ่าจะปิดกั้นสิทธิของผู้หญิง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมด เพียงแค่ชุมชนต้องมีการนำวัฒนธรรมที่มีอยู่ มาปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทความเสมอภาคทางเพศในปัจจุบัน 

 “เวลาพูดถึงสตรีชนเผ่าคนจะนึกถึงความล้าหลัง การขาดการศึกษา และความยากจน แต่ความจริงแล้วสถานการณ์ของผู้หญิงชนเผ่าในเชิงบวก  พวกเขาได้อยู่ท่ามกลางวัฒนธรรมประเพณี ความอบอุ่นในชุมชน มีภูมิปัญญาท้องถิ่น ถ้าเราเห็นภาพตรงนี้ เราก็จะเห็นพลังบวกที่ไม่ใช่ปัญหาไปซะทั้งหมดทีเดียว” สุนีกล่าวทิ้งท้าย