ความหวัง และ ต้นกล้าชนเผ่าพื้นเมืองคนรุ่นใหม่

ความสวยงามอันทรงคุณค่าของวัฒนธรรมชนเผ่าพื้นเมือง ณ วันนี้ ยังคงทันสมัยเพียงพอต่อการหล่อเลี้ยงหัวใจชนรุ่นใหม่เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้สืบทอดมรดกวัฒนธรรมต่อจากบรรพชน หรือไม่ ?  คลื่นกระแสความเปลี่ยนแปลงและโลกาภิวัตน์ ที่พัดพาวัตถุนิยม ค่านิยม สมัยนิยม เป็นคลื่นลูกใหญ่ที่มีกระแสรุนแรงเหลือเกิน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเยาวชนที่ยังดำรงวิถีชาติพันธุ์ของตัวเองไว้ ยังมีคนรุ่นใหม่หลายคนที่ล่ำลาเมืองใหญ่เดินทางกลับบ้านเกิด เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์จากชุมชนของตัวเอง ยังคงมีเยาวชนหลายคนที่ยังทำไร่หมุนเวียน และมีอีกหลายคนเช่นเดียวที่แม้จะอยู่ใจกลางเมือง แต่ก็เคลื่อนไหวในกิจกรรมที่ส่งเสริมการเผยแพร่วัฒนธรรมอัตลักษณ์ของตนเอง แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น มากเพียงพอที่จะทัดทานคลื่นลูกใหญ่แห่งการเปลี่ยนแปลง ที่อาจจะพัดพาความเป็นชนเผ่าพื้นเมือง ให้สูญหายไปหรือไม่ ?

โลกใบเดิมเปลี่ยนไป แต่ใช่ว่าความเปลี่ยนแปลงจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวเสมอไป กลับกัน การไม่ปรับตัวอาจจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากเสียกว่า แล้วเยาวชน ชนเผ่าพื้นเมืองคนรุ่นใหม่จะปรับตัวอย่างไร ภายใต้ความท้าทายนี้ อันที่จริงพวกเขาปรับตัวมาตั้งนานแล้ว และต่อสู้กับกระแสการอภิวัตน์นี้ จนสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ สิ่งได้ และสร้างภาพจำฉากทัศน์ใหม่ให้ชนเผ่าพื้นเมืองอีกด้วย

ก่อนอื่นภาพจำม้วนฟิล์มแบบเดิมที่สังคมจดจำคนชนเผ่าพื้นเมือง คือ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในป่า ในเขาบนดอย ชีวิตยากจน เข้าไม่ถึงการศึกษา ด้อยการพัฒนา ณ วันนี้ ภาพจำเหล่านั้นค่อย ๆ ลดจางลงไป กลายเป็นภาพจำใหม่ นั่นคือ กลุ่มเสรีชนที่มีวิถีเอนอิงกับธรรมชาติอย่างมีความสุข สงบ ไม่ต้องดิ้นรนวุ่นวายแบบในสังคมเมือง มีวิถีชีวิตวัฒนธรรมและลวดลายศิลปะการถักทอผืนผ้าที่สวยงาม สังคมเห็นภาพจำใหม่นี้ได้จาก เยาวชนคนรุ่นใหม่ที่พยายามแสดงอัตลักษณ์ตัวตน เด็ก ๆ เหล่านี้สู้กับอคติเดิม ๆ เราเห็นสิ่งเหล่านั้นได้ อย่างเช่น การที่วัยรุ่นหนุ่มสาวชนเผ่าพื้นเมือง พยายามถ่ายทอดวิถีชีวิตจากท้องถิ่นตัวเองสู่สายตาคนภายนอก โดยผ่านสื่อต่าง ๆ ด้วยความภาคภูมิใจ

แต่ทว่า ไม่ใช่เยาวชนทุกคนที่จะภาคภูมิ ในเลือดเนื้อเชื้อไขคนชนเผ่าพื้นเมือง หลายคนเขินอายและเลือกที่จะปิดบังตัวตนจากความจริง พยายามที่จะกลมกลืนไปกับสังคมกระแสหลัก คงไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าหากการที่คนรุ่นเก่า มีความคาดหวังต่อ คนรุ่นใหม่ให้ดำรงสิ่งเดิม ๆ ที่เคยมีมา แต่คนรุ่นเก่าอาจจะไม่รู้ว่า โลกหมุนผันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว และไม่ได้เหมือนเดิม สังคมที่คนรุ่นใหม่ต้องพบเจอ มันไม่ได้ง่ายนัก เพราะผู้คนต่างถวิลหาการถูกยอมรับ การแบกรับความคาดหวังนี้อาจจะเป็นเรื่องที่หนักสาหัสสำหรับบางคนที่จะกล้ายืนหยัดความเป็นตัวของตัวเอง ผ่านสังคมที่มีค่านิยมในการยอมรับความสำเร็จของชีวิต ที่วัตถุ ฐานะการเงิน การงาน และภาพลักษณ์ภายนอก

เด็กดอยหลายคน ขณะที่อยู่บ้านบนดอยของตัวเอง ก็พึงพอใจและมีความสุขไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตตัวเองขาดแคลน แต่เมื่อได้ลงมาศึกษาเล่าเรียน หรือ ทำงานในเมือง ได้เห็นเพื่อน เห็นผู้คนมีวัตถุต่าง ๆ ก็เริ่มอยากมีความต้องการแบบนั้นเช่นเดียวกัน ทั้งมือถือสมาร์ทโฟน เสื้อผ้าแฟชั่น และอื่น ๆ แต่วัตถุเหล่านั้นเป็นสินทรัพย์ที่ต้องใช้เงินซื้อมา ไม่ใช่วิถีที่คุ้นเคยจากการที่พวกเขาได้รับของขวัญจากธรรมชาติที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อ เพียงแค่ภัคดีต่อธรรมชาติ รักษาต้นน้ำ ป่าเขาให้ดี ธรรมชาติก็จะมอบทรัพยากรที่ไม่มีวันหมดให้ กลับกัน วิถีสังคมเมืองมันซับซ้อนต่างไปจากนั้น เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่างแต่มันก็สร้างอิสระ และเติมเต็มความสุขของชีวิตในสังคมเมือง แต่ก็แลกมาด้วยการอุทิศร่างกายและเวลาให้กับการทำงานหาเงิน ซึ่งเต็มไปด้วยความเครียด การแข่งขัน และความเหนื่อยล้า

งานในเมือง บางที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าและยุติธรรม เด็ก ๆ หลายคนตั้งใจมาหางานทำ เพื่อส่งเงินกลับไปที่บ้าน แต่ด้วยค่าครองชีพที่สูงและไม่สมดุลกับคุณภาพชีวิตของประเทศนี้ กลับกลายว่ายิ่งทำงานยิ่งมีหนี้พอกพูน และยังมีแหล่งอโคจรที่ยั่วยุให้เด็ก ๆ เหล่านี้หลงระเลิงไปกับแสงสีกลางเมือง จนหลงลืมบ้านเกิดตัวเอง

ชีวิตเด็ก ๆ วัยหนุ่มสาว นั้นว่ายากแล้ว ชีวิตผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ง่ายเลย พ่อแม่ ผู้เฒ่าผู้แก่ ที่ยังอยู่บนดอย ยังคงต้องการใช้ชีวิตวิถีไร่หมุนเวียนที่ปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ แม้จะอยู่ในป่าบ้านของตัวเอง แต่การดำเนินชีวิตก็ไม่ได้เรียบง่ายดั่งเดิม เมื่อมีความกดดันมาจากสิ่งต่าง ๆ ทั้งข้อกฎหมาย การประกาศข้อบังคับ ที่บีบรัดให้การดำเนินวิถีชีวิตเช่นเดิมยากขึ้นทุกที ทำไร่หมุนเวียนได้ยากมากขึ้น ต้องหวาดระแวงหน่วยงานรัฐที่จะเอาผิด การถูกกล่าวหาด้วยข้อหาต่าง ๆ เช่นการบุกรุกป่า แผ้วถางป่า เผาป่า สังคมเลือกจะเอาคนชนเผ่าพื้นเมืองที่ไม่มีพื้นที่อำนาจการอธิบายมาเป็นจำเลย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ วิถีดั้งเดิมคนชนเผ่าพื้นเมือง จะเลือนหายไปในสักวัน เมื่อคนรุ่นเก่าถูกละเมิดสิทธิในการดำรงชีวิต คนรุ่นใหม่ก็ถูกกระแสนิยมโลกใหม่กลืนกิน

สุดท้ายแล้ว คนที่ยังยืนหยัดอยู่ คนที่เลือกที่จะสู้ เป็นคนที่รักท้องถิ่นบ้านเกิดตัวเอง รักในชาติพันธุ์ของตัวเอง เป็นดั่งต้นไม้ที่มีรากแก้วแข็งแรงเกาะยึดติดผืนดินที่ตัวเองเติบโตมา จนไม่มีคลื่นพายุลูกไหน หรือคลื่นกระแสใด ๆ มาทำให้ ต้นกล้าและต้นไม้ต้นนั้นล้มลงได้ แม้จะต้องเจอกับคลื่นปัญหา อุปสรรคที่รุนแรงสักเพียงใดก็ตาม

แม้ว่าการต่อสู้กับ ความเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่มนต์ขลังและความศักดิ์สิทธิในจิตวิณญาณชาวป่า คนชนเผ่าพื้นเมือง ที่มีมานับยาวนาน ได้เพาะพันธุ์ต้นกล้าชาติพันธุ์ที่จะก่อเกิดเป็นป่าใหญ่ในวันข้างหน้า แม้จะมีต้นไม้ ดอกไม้ หลายต้นล้มตายไป ก็ยังมีต้นที่เติบโตสง่าขึ้นมาเป็นความงดงามให้โลกใบนี้ โลกที่ผู้คนต่างแย่งชิงทรัพยากร ถางป่าให้เป็นเมือง ล้างผลาญทรัพยากรอย่างเมามันเพื่อสนองความโลภของตัวเองที่ไม่สิ้นสุด แต่ชาวชนเผ่าพื้นเมืองยังคงรักษาปกป้องป่าไว้ด้วยวิถีวัฒนธรรมของตัวเอง

การจะทำลายป่าได้ ก็ต้องทำลายวิถีคนชนเผ่าพื้นเมืองก่อน หากป่าหายไปก็ไม่เหลือวิถีคนชนเผ่าพื้นเมือง ในทุก ๆ วันนี้ หากเฝ้ามองพินิจให้ดี มีการพยายามทำลายต้นกล้าชาติพันธุ์ด้วยกลไกวิธีที่เป็นระบบ และไม่เป็นระบบมากมาย เพื่อแย่งชิงพื้นที่ของคนชนเผ่าพื้นเมือง ดังนั้นแล้ว เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ที่จะต้องให้การสนับสนุนผลักดัน เปิดพื้นที่ให้ เยาวชนคนชนเผ่าพื้นเมืองคนรุ่นใหม่ มีพลังแสดงศักยภาพ มีความเข้าใจตัวตน และภูมิใจในวิถีชาติพันธุ์ของตัวเอง เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนในวันข้างหน้าและต่อสู้กับทุกสิ่งที่จะเป็นบ่อนทำลาย วิถีอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของพวกเรา และนี่คือความหวังที่สำคัญที่สุด ที่จะดำรงไว้ซึ่งความเป็นคนชนเผ่าพื้นเมืองให้คงอยู่สืบต่อไป

เขียนโดย : จอกิบู