พลังเสียงชนเผ่าพื้นเมือง

ฉันรู้สึกเจ็บปวดใจเมื่อแอบได้ยินเด็กๆคุยกันว่า “เราไม่ต้องพูดภาษาคะฉิ่นเดี๋ยวคนอื่นจะรู้ว่าเราเป็นชาวเขา”

“สราม่า” หรือ “ป้ามล” ของเด็กๆชนเผ่าคะฉิ่นแห่งบ้านใหม่สามัคคี  ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ได้พูดถึงความกังวลที่มีต่อเด็กๆในหมู่บ้าน  ป้ามลมีชื่อจริงว่า นางมล  มาลิ  เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2508 ปัจจุบันมีบุตรชายสองคนและบุตรสาวหนึ่งคน  ด้วยเหตุผลจากการไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง  ป้ามลและครอบครัวจึงต้องไปรับจ้างทำไร่ที่หมู่บ้านแม่ข่า ต.แม่ข่า อ.ฝาง จ.เชียงใหม่  จึงทำให้ลูกๆของป้ามลพูดภาษาคะฉิ่น[1]ไม่ค่อยได้  และไม่นานมานี้เองได้ย้ายกลับไปยังหมู่บ้านใหม่สามัคคี  ซึ่งเป็นชุมชนที่มีชนเผ่าคะฉิ่นอาศัยอยู่  ทำให้ตนได้กลับมาอยู่ใกล้ชิดกับพี่น้องคะฉิ่นอีกครั้ง

“ตอนแรกๆที่กลับมาอยู่ใหม่ๆ ลูกๆพูดภาษาคะฉิ่นไม่ได้เลย  ฉันก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันที่ลูกๆพูดภาษาตนเองไม่ได้  บ้านฉันตั้งอยู่ใกล้ๆถนน  ตอนเย็นๆจะมีเด็กมาเดินเล่นกันและคุยกันเป็นภาษาไทย  ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดมากที่เด็กๆ ไม่ยอมพูดภาษาของตนเอง  ต่างจากเด็กๆละหู่และจีน  ซึ่งยังพูดภาษาของตัวเองอยู่”

ป้ามลได้แต่คิดว่าจะทำอย่างไรให้เด็กๆยอมพูดภาษาตนเอง  ยอมเรียนรู้วัฒนธรรมของชนเผ่าตัวเอง  เพราะทุกวันนี้คนแก่ๆก็เริ่มตายจากกันไปหมดแล้ว  โดยเฉพาะคนที่ทอผ้าเก่งๆในหมู่บ้านก็เหลือแค่สองคน  ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้คะฉิ่นจะยังมีตัวตนอยู่ได้อย่างไร  ซึ่งในขณะนั้นป้ามลก็ได้แต่คิด  ไม่สามารถทำอะไรได้อีก  เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน

จนเมื่อกระทั่งปี 2551 ได้มีโครงการการศึกษาไปซี่ (PEICY) ของสมาคมอิมเพ็คท์ (IMPECT) ได้เข้ามาในชุมชน  จึงทำให้ตนเองมองเห็นทางออก  เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาอบรมเรื่องภาษาแม่และการถ่ายทอดวัฒนธรรม  ตอนนั้นตนสังเกตว่าเด็กๆจะเชื่อฟังเจ้าหน้าที่มากกว่าพ่อแม่  เด็กๆเริ่มหันมาสนใจเรียนรู้วัฒนธรรมของตัวเองและจะมานั่งรอให้ผู้รู้มาสอน  เช่น ดนตรี  ภาษา  การทอผ้า  และประวัติศาสตร์ของชุมชน เป็นต้น  ตนเองก็ได้มาเป็นผู้รู้ด้านการทอผ้าให้เด็กๆ “เดี๋ยวนี้เด็กๆกล้าพูดภาษาคะฉิ่น  เวลาอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มก็จะพูดภาษาคะฉิ่นกัน  เด็กบางคนสามารถทอผ้าได้เก่งกว่าแม่ด้วยนะ  แต่ฉันก็ยังอยากให้เด็กฝึกทำเรื่อยๆ เพราะอยากสอนลายยากๆให้เด็กๆจนสามารถทอเป็นผ้าถุงได้เลย”

อย่างไรก็ตามป้ามลก็ยังมีข้อกังวลใจอยู่ว่า  “ถ้าไม่มีการจัดกิจกรรมแบบนี้อย่างต่อเนื่อง  จะทำให้เด็กๆไม่มีการสืบทอดวัฒนธรรมอีก  และเด็กๆอาจจะมีเวลาว่างเยอะเกินและจะไปมั่วสุมทำสิ่งไม่ดี  ฉันก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีการจัดกิจกรรมแบบนี้ให้เด็กๆที่บ้านอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้วัฒนธรรมของคะฉิ่นถูกกลืนหายไป”