เมื่อสายน้ำแห่งพระพรกลายเป็นพิษ: ความสิ้นหวังของชุมชนชาติพันธุ์ และผู้ศรัทธาริมน้ำกกภายใต้เงาสารหนู

ใบไม้แห้งปลิดปลิวหลุดจากขั้ว หล่นลงไปลอยตัวเหนือแม่น้ำกว้างสีโคลน ไหลเรื่อยรวดเร็วจนผ่านเลยสายตาออกไป ณ จุดที่ยืนอยู่ตรงนี้ ที่ริมฝั่งปีก่อน ๆ มีวัยรุ่นลาหู่มารับศีลด้วยการดำผุดดำว่าย 3 ครั้งในพิธีบัพติสมา เพื่อยืนยันตนเป็นคริสตชน เพราะน้ำคือสิ่งชำระล้างบาปและความซื่อสัตย์ของมนุษย์ แต่มาวันนี้ สายน้ำกกของบ้านผาใต้ ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกแล้ว เมื่อสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ ประกาศเตือนว่า มีการตรวจพบการปนเปื้อนโลหะหนัก และสารหนูเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งสาเหตุอาจเชื่อมโยงมาจากผลกระทบของการทำเหมืองแร่ทองคำบริเวณต้นน้ำ

“รัฐบอกว่า ใครลงไปเล่นมันจะแพ้ ระคายเคือง มีผื่น คันยิบ ๆ  หรือกินเข้าไปสะสมแล้วท้องร่วง ท้องเสียแล้วก็เป็นมะเร็งได้”

เสหละ ลิโป หนึ่งในชาวลาหู่ดำที่ละวิถีเก่า มาเข้ารีตถือคริสเตียนและมีบ้านอยู่ริมฝั่งแม่น้ำกก บอกเล่าผลกระทบที่เจ้าตัวรับฟังมาจากทางการ เขาระบุว่า ในชุมชนเคยมีคนจากหลายหมู่บ้านรอบบริเวณมาเข้าพิธีรับศีลจุ่ม แต่ปีนี้กลายเป็นภาพที่ไม่มีให้เห็น

“เรายืนร้องเพลงสรรเสริญกันริมฝั่ง จากนั้นอาจารย์ (ผู้ประกอบพิธี) ก็พาคนมารับศีลลงไปในแม่น้ำจนสูงเกือบอก พอนิ้วอาจารย์สัมผัสไปที่ศีรษะแต่ละคนแล้ว พวกเขาจะกลั้นใจมุดลงน้ำแล้วโผล่ขึ้นมา สถานที่ตรงนี้มีคนจาก 3 – 4 หมู่บ้าน มาใช้ประกอบพิธีกรรม ทั้งจากห้วยส้าน บ้านเมืองงาม บ้านสุขฤทัย คือ ไม่ใช่แค่ลาหู่เราอย่างเดียวหรอก แต่มีทั้งคนไทยเชื้อสายจีน คนชาติพันธุ์อื่น คนเมืองก็มากัน”

บ้านผาใต้แห่งนี้มี 8 หย่อมบ้าน ประชากรมากกว่า 200 ครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นชาวลาหู่ดำ นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งตัวแทนจากคริสตจักรสานสัมพันธ์เชียงใหม่ สาวิณี สาระไกร ให้ข้อมูลเรื่องราวระหว่างมนุษย์ พระเจ้า และธรรมชาติของพวกเขาเอาไว้โดยระบุว่า    

เสหละ ลิโป ชาวลาหู่ดำ บ้านผาใต้ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ภาพ: Lanner (เวที ‘Maekok’s Right Matters’ เปิดประเด็นสิทธิบนสายน้ำกก จากสารพิษข้ามพรมแดนสู่คำถามเรื่องสิทธิชุมชนและความรับผิดชอบของรัฐ) 5 ตุลาคม 2568

“พื้นฐานของการเป็นคริสเตียน คือการต้องอารักขาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พระเจ้าสร้างอาดัมกับเอวาขึ้นมาหลังจากสร้างธรรมชาติกับเอเดนแล้ว มนุษย์จึงมีภารกิจนี้ในการดูแลสวนตามพระประสงค์ของพระองค์ ควบคู่กับการดูแลร่างกาย ความคิด จิตวิญญาณของตัวเอง พระเจ้าสร้างทุกอย่างมาอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่วันแรก แม้ปัจจุบันมันเริ่มเสื่อมลงจากหลายปัจจัย ยังไงเสียมนุษย์ก็ไม่สามารถทอดทิ้งเรื่องการเคารพ อยู่ร่วมดูแล สิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้ ส่วนของการรับศีลเวลาคริสเตียนเราจุ่ม คือ จะจุ่มมิดหัว ถ้าหากแหล่งน้ำที่ใช้มีสารปนเปื้อน ก็จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงเพื่อรักษาร่างกายเราก่อน เพราะเรายังสามารถใช้น้ำจากบ่อหรือแหล่งอื่นได้ ย้ำอีกทีว่า การร่วมปกป้องรักษาแม่น้ำ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ไว้เป็นหน้าที่ของพวกเราทั้งมวล เหมือนที่พระเจ้าเปรียบไว้ว่า ให้เราเป็นกวางน้อยที่กระหายหาน้ำ แต่ถ้ากวางน้อยไม่สามารถอยู่ใกล้หรือใช้น้ำได้…เราก็อาจไม่มีสิทธิแม้กระทั่งกระหาย”

ในขณะที่ เสหละ ยืนเงียบงัน ก้มหัวลงถอนใจ เป็นเวลาเดียวกับน้ำกกที่กำลังไหลไป

‘ยอห์น 3:5 พระเยซูตรัส – เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดมิได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณแล้ว ก็เข้าในราชอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้

เพราะเราทั้งหลายถูกชำระให้สะอาด โดยน้ำแห่งชีวิต

ย้อนกลับไป 1 ปี 1 เดือน มีฝนตกติดต่อกัน 4 วัน น้ำในแม่น้ำกกไหลแรงเอ่อล้น จนปริมาณสูงขึ้นแบบที่ไม่เคยเป็นและไม่อาจต้าน นำมาสู่เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ของชุมชน เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 บ้านเรือน 11 หลัง ถูกทำลายไม่เหลือเค้าโครง ถนนหนทางและการสัญจรถูกตัดขาดต่อไปอีก 3 วัน ก่อนได้รับการฟื้นฟู เสหละ ลิโป เป็นหนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบ เขาต้องไปขออาศัยบ้านญาติพี่น้อง ขณะที่อีกหลายคนต้องไปพึ่งพาพักพิงในยุ้งข้าว หรือตั้งแคมป์ชั่วคราวบริเวณหน้าโรงเรียน

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ของชุมชนบ้านผาใต้ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 ชาวบ้านลาหู่ดำกำลังเก็บสิ่งของเครื่องใช้

ในความเห็นของลาหู่ผู้ผ่านโลกมาเกิน 60 ฤดูฝน เขาบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความผิดปกติ และอาจเป็นผลกระทบโดยตรงสืบเนื่องจากการทำลายทรัพยากร ทั้งระเบิดภูเขา ตัดไม้ ทำลายหน้าดินทำเหมืองทองคำที่ต้นน้ำ จนไม่เหลือปัจจัยชะลอความเร็ว ทำให้น้ำมาแรงและได้รับผลกระทบมากขึ้น …ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็หนีทันกันมาตลอด

“เกลี้ยงทุกอย่าง เอาอะไรไม่ทันเลย ถ้าเป็นปีก่อน ๆ มันจะค่อย ๆ ขึ้น แต่ปีนั้นมันปกติแค่สองวันแรก พอวันที่สามก็มาแรง ขึ้นเร็วแล้วก็ขุ่นมาก”

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ของชุมชนบ้านผาใต้ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2567

จากวันนั้นถึงปัจจุบัน ครอบครัวของเขาได้รับเพียงเงินช่วยเหลือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควบคู่กับการสนับสนุนอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านโดยหน่วยงานภาคประชาสังคม ขณะที่มีการมาเยี่ยมเยือนจากทั้งผู้นำรัฐบาล ผู้บริหารกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และผู้คนหน้าไม่คุ้นแวะเวียนมาไม่ขาด

เสหละ เล่าถึงภาพในอดีตหลายฉาก หนึ่งในนั้นคือความทรงจำว่า ทุกช่วงเวลาไตรมาสแรกของปีปฏิทิน แม่น้ำกกจะใสสะอาด จนบางช่วงนั้นสามารถมองเห็นตัวปลาได้ พอปิดเทอมใหญ่ เด็ก ๆ หลายคนก็ชอบมาจับกลุ่มกันลงเล่น แต่นับจากการมาถึงของสารปนเปื้อน ทุกอย่างก็ตาลปัตร คล้ายแม่น้ำกกกลายเป็นเพียงภาพวาดทิวทัศน์แบบปราศจากผู้คน ชีวิตริมฝั่งของพวกเขา อาจถึงคราวล่มสลายหากยังไม่มีมาตรการแก้ไข หรือการเยียวยาผลกระทบอย่างทันท่วงที

การเกิดใหม่และชีวิตนิรันดร์

ปัจจุบัน น้ำที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของทั้งลาหู่ดำ(คริสเตียน) และลาหู่แดง ซึ่งยังนับถือผีในบ้านท่าตอน มาจากแหล่งเดียวกันคือ ลำห้วยส้าน 2 สาย ที่ไหลลงมาจากต้นน้ำบนภูเขาสูงลงสู่แม่น้ำกก นอกจากใช้งานทางจิตวิญญาณแล้ว ยังกลายเป็นแหล่งน้ำชั่วคราวเพื่ออุปโภค บริโภค และสำหรับการเกษตร

หากปัญหาของแม่น้ำกกยังคงยืดเยื้อ กินเวลานาน เสหละ มั่นใจมากว่า แหล่งน้ำจะไม่เพียงพออีกต่อไป “ปีนี้ยังทนได้ แต่ถ้าเป็นหน้าร้อนน้ำน้อย แล้วคนใช้น้ำยังเยอะแต่แหล่งน้ำมีที่เดียวมันไม่มีทางพอ ตั้งแต่เด็กมาเราใช้น้ำกกซักผ้า อาบน้ำ ทำเกษตรกันตลอด พอว่างก็หาปูหาปลามาแบ่งกันกิน แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ คนหาปลาขายก็ทำไม่ได้ ต้องตกงานทันที ส่วนคนที่ทำพืชผัก ถ้าใกล้แม่น้ำก็ไม่กล้ากิน ทุกวันนี้แค่กินผักแต่ละมื้อยังต้องหาซื้อจากนอกหมู่บ้าน เพราะยังไงก็ปลอดภัยกว่ากินสารตกค้าง คนทำแพทำธุรกิจท่องเที่ยวก็กระทบด้วย พอข่าวออกไปใครจะกล้ามา เรียกว่าปัญหานี้มันกระทบวิถีชีวิตกันไปหมด”

เช่นกันกับร้านค้าปลีกของ นิชา จะลอ หนึ่งในร้านชำริมฝั่งแม่น้ำกกของบ้านผาใต้ ซึ่งเคยค้าขายของสด ของกินเล่น รวมทั้งของฝากให้นักท่องเที่ยวและผู้คน ตอนนี้สิ่งเดียวที่ขายออกคือแก๊สหุงต้มซึ่งมีกำไรน้อย เธอเชื่อว่านี่เป็นผลกระทบจากการที่แม่น้ำพบสารปนเปื้อน

นิชา จะลอ หนึ่งในเจ้าร้านชำริมฝั่งแม่น้ำกกของบ้านผาใต้ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่

“ตั้งแต่ต้นปีมารายได้หายไปครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับปีก่อน ๆ โดยปกติหน้าร้านเรามีรายได้เดือนละ 3,000 – 4,000 บาท หรือปีละสี่ห้าหมื่นบาท แต่ตอนนี้เหลือแค่พออยู่พอกินกำไรหายไปเกินครึ่งด้วยซ้ำ ของสด ของฝาก กระเป๋า กำไรที่ระลึกขายไม่ได้เลย ปกติชาวบ้านเราทำนาเกี่ยวข้าวแล้วต้องปลูกผัก ร้านก็พอได้ขาย แต่ปีนี้หลายบ้านบอกไม่ทำเพราะหาน้ำไม่ได้ ต่อให้ปลูกแล้วเอามาขายก็คงไม่มีคนซื้อ ใครจะอยากซื้อผักปนเปื้อนสารตกค้าง เราเองก็ไม่อยากขายด้วย  ส่วนที่ต้องกินกันเองในบ้านก็ใช้น้ำฝน น้ำจากประปาภูเขาแทนเอา”

นิชา เล่าเพิ่มเติมว่า นี่คือฝันร้ายซ้ำสอง หลังจากระลอกแรกเกิดขึ้นช่วงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19)  ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวที่มักพบเห็นได้จากการล่องเรือผ่านไปมาหายเกลี้ยง เมื่อกำลังฟื้นฟูกลับมามีคนได้อีกครั้ง ก็ต้องเจอกับปัญหาในแม่น้ำ นี่ล่วงเข้าเดือนที่ 4 แล้ว ที่เธอไม่เจอเรือนักท่องเที่ยวแม้แต่ลำเดียว

สอดคล้องกับข้อมูลเรื่องผลกระทบต่อการท่องเที่ยวตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ หลังเกิดกรณีแม่น้ำกกพบสารปนเปื้อน โดยการรวบรวมของ แสงระวี สุวีรการย์ หนึ่งในสตรีชนเผ่าพื้นเมืองชาวไทใหญ่ ที่อาศัยอยู่บ้านใหม่หมอกจ๋าม และได้รับผลกระทบจากสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกเช่นกัน ซึ่งพบว่า ซุ้มขายของ แพริมน้ำ และร้านขายของฝากตลอดสองฟากฝั่งมีจำนวนลดหรือปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อสอบถามข้อมูลโดยละเอียด พบอย่างน้อย 10 กิจการที่ขาดทุนสะสมนับตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2568 มากกว่า 1 ล้านบาท (1,0060,900 บาท)

“ปกติคนชุมชนเราใช้น้ำกกในภาคการเกษตร เอามาอาบเอามาซักผ้า ขณะที่การดื่มกินยังต้องซื้อน้ำจากรถขนน้ำ ยกตัวอย่างครัวเรือนที่อยู่กันแค่สองคนผัวเมีย ก็ต้องเสียอาทิตย์ละประมาณ 900 บาท แต่ตอนนี้นอกจากซื้อกินแล้วต้องซื้อมาใช้อีก เพราะทุกคนหยุดใช้น้ำกก 100% จนค่าน้ำขึ้นเป็นสัปดาห์ละมากกว่า  1,300 บาท … นี่ขนาดหน้าฝนที่ยังพอรองน้ำมาใช้ทดแทนได้นะ”

แสงระวี สุวีรการย์ หนึ่งในสตรีชนเผ่าพื้นเมืองชาวไทใหญ่ ที่อาศัยอยู่บ้านใหม่หมอกจ๋าม ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ผู้ได้รับผลกระทบจากสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกเช่นกัน ภาพ: IMN-เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง

นอกจากค่าใช้จ่ายครัวเรือนสูงขึ้นแล้ว แสงระวี ยังระบุถึงความกังวลของเธอ โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐ ที่ยังกำกวมและไม่ครอบคลุมจนสามารถเข้าถึงกลุ่มชาติพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมืองผู้อาศัยริมแม่น้ำได้

“ไม่รู้ว่าเป็นอุปสรรคทางภาษา หรือการสื่อสารคลุมเครือ ทำให้ความเข้าใจของชาวบ้านไม่ชัดเจนเลย เช่น เรื่องปลาพบสารปนเปื้อนแต่ไม่เกินมาตรฐาน อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยง สำหรับชาวบ้านเราอยากรู้ว่า แล้วสรุปมันกินได้ไหมทำไมไม่บอกให้ชัดเจน ฟังแบบนี้มันดูเหมือนกินไม่ได้ เพราะถ้ากินไปแล้วสารปนเปื้อนมันจะเข้าไปสะสมในร่างกายสิ ส่วนของน้ำแจ้งว่า เจอสารปนเปื้อน ชาวบ้านเราก็ไม่เอามารดผัก แต่มันไม่จบ เพราะที่เขามาตรวจเจอสารปรอทหรือแคดเมียมในผัก มาจากการตกตะกอนของดินสะสมริมฝั่งที่ใช้เพาะปลูก ซึ่งหมายความว่าเราควรเลี่ยงการใช้ที่ดินบริเวณนั้นทำกินไปเลยไหม?…กลายเป็นพวกเราต้องมาคิดกันเอาเอง”

แม้ที่ผ่านมา มีความพยายามของผู้ได้รับผลกระทบและผู้นำชุมชน เพื่อเรียกร้องให้เกิดการแก้ไข เช่น การยื่นหนังสือถึงสถานทูตเมียนมาและจีนเพื่อให้เร่งแก้ปัญหาจากต้นทาง รวมทั้งการติดตามโครงการ ‘สร้างฝายดักตะกอนลำน้ำกก’ ซึ่งมีเป้าหมายลดปัญหาน้ำเสียและตะกอนปนเปื้อนสารพิษ ภายใต้วงเงินก่อสร้างมากกว่า 8,000 ล้านบาท แต่ในความคิดเห็นของสตรีชนเผ่าฯ ผู้ได้รับผลกระทบจากสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก เธอระบุชัดเจนว่า ไม่อยากตกเป็นหนูทดลอง

“ตอนนี้มีแค่ฝายเดียว พอฝนตกลงมาน้ำยังท่วมสูงกว่าปกติ การมีฝายดักตะกอนอีก 4-5 ฝาย อาจทำให้พื้นที่ริมน้ำกกที่ประชาชนอยู่กลายเป็นทะเลสาบ ไม่ใช่ทะเลสาบธรรมดาแต่เต็มไปด้วยโลหะหนักปนเปื้อน ถ้ารัฐจะเอาชาวบ้านเป็นหนูลองยาอันนี้ก็ไม่ดีเลย เพราะเราเคยเห็นปัญหาการปนเปื้อนของสารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ ที่กาญจนบุรี ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าแม่น้ำกกกันมาแล้ว อย่าลืมว่าแม่น้ำกกกว้างเป็นร้อยเมตร ยาวกว่า 150 กิโลเมตร ถ้าหากรัฐยังไม่มีประสบการณ์ หรือทำการศึกษาเรื่องฝายอย่างเพียงพอ ย่อมเป็นการเพิ่มความเสี่ยง เหมือนพาชาวบ้านหนีเสือปะจระเข้”

ไม่เพียงการเดินหน้าเร่งแก้ไขปัญหา แต่มาตรการเยียวยาผู้ได้รบผลกระทบซึ่งจำเป็นไม่น้อยกว่ากัน ยังเต็มไปด้วยข้อสงสัย แม้กลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามการแก้ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก โดยมอบหมายกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ให้เร่งสำรวจขุดเจาะเพื่อได้ใช้เป็นแหล่งน้ำสำรองของประชาชน พร้อมกับการเร่งจัดทำคำของบประมาณช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาแล้ว แต่ เสหละ ลิโป ลาหู่ผู้เคยสูญเสียบ้านไปทั้งหลังกลับยังไม่มั่นใจ

“ย้อนไปตั้งแต่น้ำท่วม นายกคนก่อนลงมาเยี่ยม บอกอนุมัติเงินเยียวยาแล้ว มีการส่งหน่วยงานมาสำรวจสองสามครั้ง ผ่านมาจนตอนนี้ก็ไม่เห็นมีวี่แวว ส่วนของการประกาศว่าเจอสารหนู ก็มีแค่ประกาศ มีคำแนะนำ ห้ามนั่นห้ามนี่ จะทำแต่ฝายแล้วแจ้งเตือนก็มีแต่ภาษาไทยกลาง คนชนเผ่าจำนวนมากเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ต้องอาศัยการบอกต่อกัน แต่ที่เรารอแล้วยังไม่เคยได้ยินเลย คือ รัฐจะหามาตรการช่วยให้ชาวบ้านยังไงให้สามารถกลับมาลืมตาอ้าปากได้”

ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่ให้รักกันด้วยการกระทำและความจริง- (1 ยอห์น 3:18)

เพราะน้ำในความเชื่อ คือการชำระบาป ในทางวิทยาศาสตร์คือชีวิต แต่สำหรับชาวลาหู่ที่บ้านผาใต้ น้ำกกกลับกลายเป็นภาพสะท้อนของบาป ที่เกิดจากการละเลยของมนุษย์ ปัจจุบันขณะกำลังพิสูจน์ตัวมันเอง ทั้งในทางวิทยาศาสตร์และความเชื่อ เมื่อพิษของสารปนเปื้อนไม่ได้กัดกร่อนเพียงแค่สายน้ำกก แต่กำลังกัดกินศรัทธาและความหวังในการดำรงชีวิตของคนริมน้ำ จากอดีตที่สายน้ำเป็นแหล่งชำระล้างบาป เป็นปัจจัยพื้นฐานของการอุปโภคบริโภค และเป็นศูนย์กลางของวิถีชีวิต ชุมชนกลับต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากจากการถูกตัดขาดจากแม่น้ำ

เรื่องนี้สำหรับนักวิชาการอย่าง ดร.สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้แสดงความเห็นในกิจกรรมเสวนา ‘Maekok’s Right Matters สิทธิบนสายน้ำกก’ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 68 ที่ผ่านมาว่า

“ทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม เป็นทรัพยากรร่วมของมนุษยชาติที่ไม่อาจแบ่งด้วยเส้นพรมแดนได้ บ้านเรามีรัฐธรรมนูญที่ระบุหลักสำคัญที่เกี่ยวข้องไว้ คือ สิทธิในการมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งสิทธิเหล่านี้จะมีความหมายก็ต่อเมื่อรัฐทำหน้าที่อย่างจริงจัง”

อ.ดร.สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภาพ: Lanner (เวที ‘Maekok’s Right Matters’ เปิดประเด็นสิทธิบนสายน้ำกก จากสารพิษข้ามพรมแดนสู่คำถามเรื่องสิทธิชุมชนและความรับผิดชอบของรัฐ) 5 ตุลาคม 2568

พร้อมทั้งเสนอทางออกเอาไว้หลายประการ โดยเฉพาะการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านมลพิษในพื้นที่ เพื่อจัดทำแผนป้องกันและฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ หรือการประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม เพื่อจำกัดกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดมลพิษเพิ่มเติม  

“กฎหมายบังคับให้รัฐเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมแก่ประชาชนอย่างโปร่งใส หากพบความเสี่ยงจากมลพิษ ต้องรีบแจ้งวิธีป้องกันตนเอง เพื่อให้ประชาชนได้วางแผนการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม ขณะที่ในระดับนโยบาย ควรผลักดันให้รัฐบาลไทยเจรจากับเมียนมาอย่างจริงจัง ผ่านกลไกอาเซียนและความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่สำคัญคือ ไม่มีใครเข้าใจปัญหาได้ดีไปกว่าคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง การแก้ปัญหาจะเกิดผลจริงได้ ก็ต่อเมื่อรัฐเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น มิฉะนั้นการแก้ปัญหาอาจกลายเป็นการสร้างภัยใหม่ซ้ำเติมสิ่งแวดล้อมเสียเอง”

ราวกับว่า สายน้ำยังไม่สิ้นความศักดิ์สิทธิ์ หากพวกเขายังไม่สิ้นในศรัทธาและการต่อสู้ เรื่องราวชีวิตของชุมชนลาหู่ริมน้ำกก ไม่ใช่เพียงโศกนาฏกรรมจากท้องถิ่นที่ห่างไกล แต่คือสัญญาณเตือนถึงหายนะด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำลังคุกคามสิทธิในการมีชีวิตของมนุษย์ทุกคน เมื่อน้ำคือปัจจัยแห่งการอยู่รอด การปล่อยให้สายน้ำปนเปื้อน จึงอาจเป็นอาชญากรรมต่อทั้งวิถีชีวิตและวัฒนธรรม…แม้ไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิดขึ้นก็ตาม

( ลิ้งค์ประกาศสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ ประกาศเตือนว่า มีการตรวจพบการปนเปื้อนโลหะหนัก : https://epo01.pcd.go.th/th/news/detail/181868 )

เขียนและเรียบเรียง: นพพล ไม้พลวง

ข่าวชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการรายงานข่าวร่วมระหว่างฮาร์ดสตอรี่ x สื่อชนเผ่าพื้นเมือง (IMN) สนับสนุนโดยกองทุนสนับสนุนกิจกรรมท้องถิ่นแคนาดา