ถึงเวลาต้องคุ้มครองแล้วหรือยัง? จากห้วยหินลาดในถึงเกาะหลีเป๊ะ อนาคตของพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ภายใต้กฎหมายชนเผ่าพื้นเมือง

เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับชาวอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ -เกาะอาดัง จ.สตูล ที่ได้รับการประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นพื้นที่คุ้มครองฯ ลำดับที่ 23 ของประเทศเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ ตามมติคณะรัฐมนตรี 2 มิถุนายน 2553 แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล

ชาวอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ -เกาะอาดัง จ.สตูลถ่ายภาพร่วมกับแขกที่มาในงานประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา (ภาพจาก Facebook ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร)

แต่ยังไม่ทันไรเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2567 ก็เกิดเหตุการณ์กลุ่มคนแต่งชุดดำเข้าทำลายทรัพย์สินในไร่หมุนเวียนของชาวบ้านในชุมชนบ้านห้วยหินลาด ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ทั้งที่พื้นที่แห่งนี้ถูกประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553  เรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง

พวกเขาคือชุมชนตัวอย่างที่ได้สืบทอดองค์ความรู้ภูมิปัญญาวัฒนธรรม การทำไร่หมุนเวียน ตลอดจนการจัดการทรัพยากรภายในชุมชนให้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ กรณีนี้แสดงให้เห็นว่าการได้รับประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองฯ ตามมติครม. อย่างเดียวนั้นคงไม่เพียงพอ ผศ.ดร.สุวิชาญ พัฒนาไพรวัลย์ อาจารย์ประจำสาขาการจัดการภูมิวัฒนธรรม วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้ให้ความคิดเห็นไว้ใน IMN LIVE Special EP9 ในหัวข้อ ‘อนาคตของพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ภายใต้กฎหมายชนเผ่าพื้นเมือง’ เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมาว่า “พี่น้องคาดหวังว่าการประกาศพื้นที่คุ้มครองแล้วทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลง  แต่บางพื้นที่หลังการประกาศคุ้มครองแล้วไม่เกิดความแตกต่างเลย”

ความท้าทายของเรื่องนี้ในมุมมองของผศ.ดร.สุวิชาญ คือชุมชนไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตนเอง แต่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐและภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อนร่วมกัน แต่การรับรู้เรื่องนี้ยังมีช่องว่าง เมื่อชุมชนมีความเข้าใจแบบหนึ่ง ภาครัฐและภาคการเมืองก็มีความเข้าใจต่อพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์อีกอย่างหนึ่ง แม้ว่าจะมีนโยบายการประกาศพื้นที่คุ้มครองฯ มานานแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีการเดินหน้าตอบสนองยุทธศาสตร์หรือว่าเป้าประสงค์ของการนำไปสู่พื้นที่คุ้มครองฯ อย่างแท้จริง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องผลักดันเรื่องนี้ตเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย

ผศ.ดร.สุวิชาญ พัฒนาไพรวัลย์ อาจารย์ประจำสาขาการจัดการภูมิวัฒนธรรม วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย

กรณีศึกษาห้วยหินลาดใน เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่เข้าใจวิถีชีวิตของชาติพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมือง

ช่วงบ่ายของวันที่ 4 มิถุนายน ชายชุดดำ 3 คนที่ชาวบ้านระบุว่าแต่งกายด้วยชุดสีดำ ขี่มอเตอร์ไซต์ 2 คันผ่านหมู่บ้านเข้าไปยังไร่หมุนเวียนของชาวบ้านห้วยหินลาดใน พวกเขาได้เข้าไปทำลายข้าวของของชาวบ้านที่ได้จัดทำพิธีกรรมการหยอดข้าวไร่ ปรากฏเป็นภาพสิ่งของถูกรื้อและทำลายกระจัดกระจายตามรูปที่ประสิทธิ์ ศิริ โพสรูปลง Facebook เส่วนตัวของเขา

ภาพของประสิทธิ์ ศิริแสดงให้เห็นถึงข้าวของของชาวบ้านห้วยหินลาดในที่ถูกรื้อทำลายภายในกระท่อมกลางพื้นที่ไร่หมุนเวียน (ภาพจาก Facebook Prasit Siri)

“ชาวบ้านเกิดความหวาดระแวงในการใช้ชีวิตและการเข้าไปทำไร่” ประสิทธิ์เล่า “อยู่ดีๆ ก็มีชายแปลกหน้าคลุมผ้าสะพายปืนเข้าหมู่บ้าน  ถ้าเขาจะเข้ามาตรวจป่าชาวบ้านก็ยินดี เจตนาเหมือนเขาไม่อยากให้เราทำไร่หมุนเวียน เขายังไม่เข้าใจภูมิปัญญาของเรา”

แม้องค์ความรู้เรื่องไร่หมุนเวียนจะเป็นที่ยอมรับในระดับสากล แต่หลายภาคส่วนก็ยังขาดความรู้ในเรื่องดังกล่าว ประสิทธิ์มองว่าการที่หมู่บ้านของเขาได้รับรางวัล ด้านความยั่งยืนและการอนุรักษ์ จากทั้งรางวัลลูกโลกสีเขียวครั้งที่ 1 ปี 2542 ประเภทชุมชน  รางวัล 5 ปีแห่งความยั่งยืน (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นรางวัล “สิปปนนท์ เกตุทัต รางวัลแห่งความยั่งยืน”) ในปี 2548  ด้านกลุ่มเยาวชนบ้านห้วยหินลาดใน ก็เคยได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 7 ในปี 2548  ตัวปราชญ์ชาวบ้านอย่างพะตีปรีชา ศิริ (อายุ 59 ปี) ได้รับรางวัล “วีรบุรุษ รักษาป่า” Forest Hero จากการประชุมของ องค์การสหประชาชาติ เรื่องป่าไม้ ที่กรุงอิสตันบูล ในปี 2556 และรางวัลชุมชนต้นแบบจากการศึกษาแลกเปลี่ยนชุมชนต้นแบบที่ประเทศมาเลเซียในปี 2566 ก็ยังไม่เพียงพอที่จะคุ้มครองวิถีชีวิตของชาวบ้านห้วยหินลาดในให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัย

เจ้าหน้าที่ยืนอยู่ในไร่หวุนเวียนในวันประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์บ้านแม่ปอคี จ.ตาก

“การเป็นพื้นที่คุ้มครองตอนนี้มันช่วยคุ้มครองในด้านของวัฒนธรรมอย่างเดียว แต่ในด้านการใช้ทรัพยากร การอยู่กับป่าเรายังไม่ได้รับการคุ้มครองวิถีชีวิตของเราอย่างครอบคลุม” โดยประสิทธิ์กล่าวหลังเกิดเหตุการณ์การถูกบุกรุกไร่หมุนเวียนว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จำเป็นต้องหาข้อสรุปให้ได้ เพื่อให้ชาวบ้านไม่เกิดความหวาดระแวงในการใช้ชีวิต รวมทั้งเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องผลักดันพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชาติพันธุ์ ภายใต้กฎหมายชนเผ่าพื้นเมือง เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายต่อไป

หลีเป๊ะสวรรค์ของนักท่องเที่ยวนรกของชาวเลย์ ความสำคัญของพื้นที่คุ้มครองฯ

“การท่องเที่ยวบนเกาะหลีเป๊ะเติบโตแบบไม่มีใครควบคุม จนทุกวันนี้เกิดการแย่งชิงการใช้ทรัพยากรหลีเป๊ะเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวแต่เป็นนรกของชาวเลย์” แสงโสม หาญทะเล ชาวอูรักลาโว๊ย เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ได้แชร์เรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านเกิดของเธอใน IMN LIVE Special EP9 โดยเธอขยายความว่าชาวเลย์ไม่ได้ต่อต้านเรื่องของการท่องเที่ยว ทั้งการท่องเที่ยวยังช่วยส่งเสริมวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชาวเลย์ ทำให้มีรายได้มากขึ้น แต่ก็ตามมาด้วยรายจ่ายที่สูงขึ้นเช่นกัน เธอกล่าวว่าทุกวันนี้ชาวเลย์หารายได้ต่อวัน 300 – 500 บาท แต่ก็ต้องถูกจ่ายไปกับค่าครองชีพโดยเฉพาะกับค่าไฟที่เอกชนเป็นคนดูแลที่มีราคาสูงถึง 18-30 บาทต่อหน่วยขึ้นอยู่กับพื้นที่ “วิถีชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไป ชุมชนดั้งเดิมถูกบีบถูกไล่ที่ดิน ถูกปิดกั้นสุสานฝังศพทั้งที่เราอยู่มานานแล้ว”

แสงโสม หาญทะเล ชาวอูรักลาโว๊ย เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล อธิบายผังเครือญาติของชาวอูรักลาโว๊ยให้กับ ดร.ธนสาร ธรรมสอน ที่ปรึกษา รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฟัง (ภาพจาก Facebook ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร)

ปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะยืดเยื้อมากว่า 10 ปี ชาวเลอุรักลาโว้ยต้องเผชิญกับปัญหาการถูกไล่ที่ แม้กระทั่งพื้นที่สุสานฝังศพชาวอุรักลาโว้ยและพื้นที่ทางจิตวิญญาณ ก็ถูกห้อมล้อมด้วยรีสอร์ตที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ แสงโสม หาญทะเล จึงมองว่าการประกาศเขตพื้นที่เขตคุ้มครองวิถีชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองไม่ได้เป็นการประกาศเพื่อขอความพิเศษให้กับพี่น้องชาวเลย์แต่คือจำเป็นที่จะต้องปกป้องคุ้มครองวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นที่อยู่อาศัยในพื้นที่มาอย่างยาวนาน

เพื่อขยายความแนวคิดเรื่องเขตพื้นที่เขตคุ้มครองวิถีชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ผศ.ดร.สุวิชาญ พัฒนาไพรวัลย์ ได้อธิบายว่าแนวคิดการริเริ่มเขตพื้นที่คุ้มครองฯ เริ่มต้นจากนักพัฒนา นักสังคมวิทยา นักมานุษยวิทยาและหน่วยงานภาครัฐเริ่มเข้าใจความเป็นชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองว่าในความเป็นจริงแล้วประเทศไทยไม่ใช่สังคมวัฒนธรรมเดี่ยวแต่เป็นสังคมพหุวัฒนธรรมดังนั้นนโยบายในการขับเคลื่อนประเทศจึงควรให้ความสำคัญกับบริบทของวัฒนธรรมในพื้นที่ด้วย ซึ่งการมีอยู่ของความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทำให้เกิดการยอมรับว่าแต่ละวัฒนธรรมมีความเปราะบางที่ต่างกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้กฎหมายทั่วไปมาหนุนเสริมคนบางกลุ่มวัฒนธรรมเพื่อใช้ในการปรับตัวได้ ดังนั้นจึงต้องมีกฎหมายพิเศษขึ้นมาในการปกป้องคุ้มครองเพื่อป้องกันการทำลายความโดดเด่นทางวัฒนธรรมของพวกเขาไป

ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเป็นที่มาของมติคณะรัฐมนตรี 2 มิถุนายน 2553 ว่าด้วยการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล โดยมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายเพื่อการคุ้มครองและปกป้องวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล และตามมาด้วยมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553  เรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง

            “ผ่านมา 10 กว่าปีเราได้บทเรียนว่าสังคมตั้งคำถามว่าทำไมต้องให้สิทธิพิเศษกับคนกลุ่มนี้”

ผศ.ดร.สุวิชาญกล่าวพร้อมให้เหตุผลว่ามันไม่ใช่การให้สิทธิพิเศษแต่คือการเติมเต็มช่องว่างทางสิทธิให้กับคนกลุ่มที่สิทธิขาดหายไปทั้งสิทธิในการมีส่วนร่วมในการออกแบบและพัฒนาชีวิตในพื้นที่ของตัวเองโดยไม่ถูกกำหนดจากส่วนกลางว่าจะต้องทำอย่างไร

ต่อมาคือสิทธิทางวัฒนธรรมที่ควรจะได้รับโอกาสอย่างเป็นธรรม ในการแสดงออกหรือมีส่วนที่จะให้วัฒนธรรมของตัวเองสามารถดำรงอยู่ได้  และสุดท้ายสิทธิของการเป็นชุมชนดั้งเดิมพวกเขาควรจะมีสิทธิในการจัดการการเข้าถึงทรัพยากรและการอยู่อาศัยในชุมชนดั้งเดิมตามจารีตประเพณีของตน

“พื้นที่เขตคุ้มครองวิถีชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองคือพื้นที่ที่เปราะบาง” ผศ.ดร.สุวิชาญกล่าวในตอนท้ายต่อประเด็นความสำคัญของพื้นที่คุ้มครองฯ “พื้นที่เหล่านี้ถ้าไม่มีการประกาศคุ้มครอง มีโอกาสที่จะสูญหายและถูกทำลาย”

งานวันประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์บ้านแม่ปอคี จ.ตาก

เขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชาติพันธุ์ยังคงต้องการกฎหมายรองรับ

“ไม่ถอดใจ! เพราะกว่าจะมีวันนี้ได้เราผ่านอะไรหลายอย่าง พี่น้องชาวเลย์เรามีความเข้มแข็งมากพอ”

          แสงโสม หาญทะเลกล่าวถึงข้อเท็จจริงที่ว่าการได้รับการประกาศพื้นที่เขตคุ้มครองวิถีชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองยังไม่มากพอที่จะทำให้พื้นที่บ้านเกิดของเธอนั้นปลอดภัยจากภัยคุกคาม เมื่อการประกาศพื้นที่ดังกล่าวเป็นเพียงมติคณะรัฐมนตรีที่ไม่มีผลทางกฎหมายโดยตรง แสงโสม หาญทะเลกล่าวเสริมว่ามติคณะรัฐมนตรียังมีจุดอ่อนเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มติคณะรัฐมนตรีก็เหมือนนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไปตามรัฐบาลในขณะนั้น โดยหลังจากปี 2553 ที่มีมติคณะรัฐมนตรีต่อเรื่องดังกล่าวเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลก็มีการปัดความรับผิดชอบและไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาเท่าที่ควร

“ถ้ายังไม่มีกฎหมายมารับรอง ผมคิดว่ามันไม่สามารถเกิดความอุ่นใจได้” ผศ.ดร.สุวิชาญ พัฒนาไพรวัลย์ กล่าว ดังนั้นการผลักดันพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่ตอนนี้สภาผู้แทนราษฎรได้รับหลักการแล้วซึ่งหนึ่งในสาระสำคัญของพรบ. ฉบับนี้อยู่ที่การขับเคลื่อนพื้นที่คุ้มครองฯ โดยข้อกังวลของ ผศ.ดร.สุวิชาญ พัฒนาไพรวัลย์ ต่อเรื่องนี้คือ ยังมีข้อจำกัดหลายประการที่เป็นตัวขัดขวางการคุ้มครองเช่น การที่กฎหมายบางประการยังขัดต่อหลักการดำเนินงานของพื้นที่คุ้มครอง อาทิ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 เป็นต้น โดยกฎหมายเหล่านี้ได้จำกัดสิทธิในการทำกินของกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งภาครัฐบางส่วนยังคงมีความหวาดระแวงต่อกลุ่มชาติพันธุ์อันนำมาซึ่งผลกระทบต่อนโยบายการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งหัวใจสำคัญที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อเรื่องนี้ได้คือชุมชนเองต้องเห็นความสำคัญทางวัฒนธรรมของตัวเองจากนั้นจึงสร้างแนวร่วมการทำงานร่วมกับภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

เวลาที่เราพูดถึงพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชาติพันธุยังคงเป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมไทยแต่ในสังคมที่เขาอยู่กับชนเผ่าพื้นเมืองมาอย่างยาวนานประเด็นเหล่านี้คือเรื่องจำเป็นและเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่กลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมและชนเผ่าพื้นเมืองควรจะได้รับ เพราะหากไร้ซึ่งการปกป้องคุ้มครอง ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในห้วยหินลาดในและเกาะหลีเป๊ะ รวมทั้งพื้นที่อยู่อาศัยอื่นๆ ของพี่น้องชาติพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมืองแสดงให้เห็นแล้วว่า กลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทยพร้อมที่จะถูกรุกรานและเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพวกเขาจากคนภายนอกอยู่ตลอดเวลา ผศ.ดร.สุวิชาญ พัฒนาไพรวัลย์ กล่าวทิ้งท้าย