ที่ประชุมโลกร้อน COP29 เคาะเงื่อนไขกองทุนกลางใหม่สำหรับสิบปีข้างหน้า ยอดเงินน้อยกว่าที่หลายฝ่ายเรียกร้องถึง “สิบเท่า” ทำให้ชนเผ่าพื้นเมืองและประชาสังคมในไทยผิดหวัง
หลังฝนตกหนักต่อเนื่องข้ามวันข้ามคืน ดินที่อุ้มน้ำต่อไปไม่ไหวก็ถล่ม ทะลักเข้าหมู่บ้านกะเหรี่ยงร้อยหลังคาเรือนปลายเดือนกันยายน
ด้วยผลิตภัณฑ์น้ำผึ้งรสหวานและการดูแลป่าต้นน้ำให้อุดมสมบูรณ์ บ้านห้วยหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์แห่งแรกในไทย แต่ปีนี้กลับได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวณอย่างรุนแรง โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิต
หลังจากภัยพิบัติ ชาวบ้านพากันซ่อมแซ่มบ้านและโรงเรียน ชาวบ้านบางคนตัดสินใจยกใต้ถุนเรือนขึ้นสูงและสร้างตอม่อเพื่อกันเศษซากไม้ที่พัดมากับน้ำหลาก เช่นเดียวกับคนทั่วไทยที่เผชิญน้ำท่วม ค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้ ชุมชนต้องแบกรับเอง ผสมกับเงินบริจาคและงบภัยพิบัติจากรัฐบาล
ภาระที่ว่าคงจะเบาลง หากมีกองทุนส่วนกลางเพื่อช่วยเหลือผู้คนปรับตัวรับมือ – หัวใจหลักที่ผู้นำประเทศทั่วโลกมารวมตัวกันประชุมโลกร้อน COP29 ปีนี้ ที่กรุงบากู อาเซอร์ไบจาน ทว่าผลการประชุมกลับสร้างความผิดหวังให้กับหลายฝ่าย

ภาพ : ผู้แทนไทยจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม / ทส.
เคาะเลขสุดท้าย เงินหายหลายเท่า
วิกฤตสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นชัดเจนจนปฏิเสธไม่ได้ แล้วเมื่อทั่วโลกต้องหาทางรับมือวิกฤตนี้ด้วยกัน คำถามสำคัญคือ แล้วจะเอาเงินมาจากไหน?
ตั้งแต่การประชุมโลกร้อนที่โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อปีค.ศ.2009 นานาประเทศได้ตกลงร่วมกันว่าจะระดมเงินจำนวน 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราวสามล้านล้านบาท) ต่อปีเพื่อใช้เป็นกองทุนให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถนำไปใช้พัฒนาประเทศเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (mitigation) เช่น ปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินและลงทุนสนับสนุนพลังงานแสงอาทิตย์หมุนเวียนแทน หรือดำเนินนโยบายปรับตัวรับกับผลกระทบจากผลโลกร้อน (adaptation)
การประชุมโลกร้อน COP29 เดือนพฤศจิกายนปีนี้ พยายามจะสรุปกรอบแนวทางเงินนั้น โดยประเทศภาคีสมาชิกอนุสัญญาโลกร้อนกว่า 198 ประเทศ รวมถึงตัวแทนรัฐบาลไทยได้มาประชุมร่วมกัน หาข้อสรุปกลไกการเงินใหม่ ที่ตั้งใจว่าจะทำให้โปร่งใส – เป็นธรรมมากยิ่งขึ้น เรียกว่า New Collective Quantified Goal (NCQG)
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่าโลกร้อนกระทบคนในแต่ละประเทศไม่เท่ากัน งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงผลกระทบจากสภาพอากาศผันผวนนับเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ด้วยเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้รับผลกระทบหนักและยังมีการเตรียมตัวรับมือไม่เพียงพอ ขณะที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์จากการปล่อยก๊าซทั้งหมดของโลก
ขณะที่บางประเทศพัฒนาแล้วและมีรายได้สูง ตัวอย่างอย่างเช่นสหรัฐฯ ไม่ได้เสี่ยงรับผลกระทบสูงมาก กลับเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 20% ดังนั้นการประชุมโลกร้อนจึงเป็นเวทีเจรจาต่อรองระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย เพื่อหาแนวทางรับมือโลกร้อนอย่างเป็นธรรม
นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่า ประเทศกำลังพัฒนาต้องใช้เงินสูงถึง 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (44 ล้านล้านบาท) ต่อปี เพื่อปรับตัวและรักษาอุณหภูมิโลกให้ไม่เกินจุดที่ย้อนกลับไม่ได้
แต่การเจรจาเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องง่าย ประชุม COP สองอาทิตย์จบลงหนึ่งวันช้ากว่ากำหนดเพราะผู้นำประเทศตกลงกันไม่ได้ ถึงกับมีผู้แทนเจรจาจากประเทศเปราะบางเดินออกจากห้องประชุมเพราะไม่ต้องการยอมรับข้อเสนอเงินที่ต่ำกว่าความคาดหวัง
ท้ายที่สุด ที่ประชุมเคาะออกมาว่า จะหาเงินเข้ากองทุนอย่างน้อย 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราวสิบล้านล้านบาท) ต่อปี และเขียนไว้กว้างๆ ว่าจะระดมหาเงินให้ได้อย่างน้อย 1.3 ล้านล้านเหรียญภายในปี 2035
“เรารู้สึกโกรธเกรี้ยว นับว่าจำนวนเงินเพิ่มขึ้นมาแค่สามเท่าจากการเดิม ซึ่งตลอดมา ประเทศพัฒนาแล้วไม่แม้แต่จะส่งเงินครบ” วนัน เพิ่มพิบูลย์ ประชาสังคมไทยที่ติดตามการประชุม Climate Watch Thailand กล่าว “นัยยะคือเราจะไม่คุยเรื่องเป้าการเงินก้อนนี้ ซึ่งประเทศพัฒนาแล้วเป็นหลักในการหาเงิน ได้เลยในอีกสิบปีข้างหน้า”

ภาพ : ตารางกิจกรรมในบูธประเทศไทย COP29 / ศ.สุริชัย หวันแก้ว
จากการ “ลงขัน” สู่ “ลงทุน”
นอกจาก “ปริมาณ” เงินที่น้อยแล้ว หลายฝ่ายยังผิดหวังกับ “คุณภาพ” ของกองทุน เพราะไม่ได้เป็นเงินที่จะให้เปล่า แต่เป็นเงินที่มาด้วยข้อผูกมัด จนเผลอๆ จะทำให้ประเทศกำลังพัฒนาผู้รับเงินก้อนนี้มา “สะสมหนี้” หรือเป็นช่องทางการลงทุนของประเทศที่ร่ำรวย
แทนที่ประเทศพัฒนาแล้วส่งเม็ดเงินเข้ากองทุนให้เบิกใช้ได้ปราศจากเงื่อนไข ที่ประชุมได้สรุปให้เงินก้อนนี้ “มาได้จากหลายแหล่ง ทั้งภาครัฐและเอกชน ข้อตกลงทวิภาคีหรือพหุภาคีและแหล่งทางเลือก” ทำให้แหล่งเงินนั้นอาจจะมาในรูปแบบเงินกู้และผ่านสถาบันการเงินสากล เช่น ธนาคารโลกหรือธนาคารแห่งพัฒนาเอเชีย (ADB)
ตัวอย่างเช่น เมื่อสองปีก่อน ธนาคารโลกได้ปล่อยเงินกู้ให้ฟิลิปปินส์ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราวหนึ่งหมื่นล้านบาท) เพื่อใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิดและรับมือภัยพิบัติ ฟิลิปปินส์จะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงถึง 42% ในอีกยี่สิบปีข้างหน้า
นอกจากนี้ การเงินใหม่นี้ยังนับรวมถึงการค้าคาร์บอนเครดิต ซึ่งการประชุมโลกร้อนที่บากูได้เคาะสรุปรายละเอียดที่ค้างคามาจากหลายการประชุม ทำให้การค้าคาร์บอนระหว่างประเทศจะเริ่มดำเนินการได้หลังจากนี้ รวมถึงข้อตกลงทวิภาคีที่ลงไว้ก่อนหน้า เช่น ข้อตกลงค้าคาร์บอนระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์ที่ลงไว้สองปีก่อน
“ถึงแม้รัฐบาลจะบอกจะมาหลายแห่ง ทั้งภาครัฐหรือเอกชน แต่ก็เปิดช่องความเป็นไปได้ว่าจะมาจากการค้าคาร์บอนเป็นกระแสหลัก”
กิตติศักดิ์ รัตนกระจ่างศรี ตัวแทนสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยที่ไปร่วมประชุมสรุป เขาอธิบายว่า ชุมชนหลายพื้นที่ในไทยกำลังกังวลผลกระทบจากโครงการคาร์บอนเครดิตที่อาจเสี่ยงทำให้เกิดการแย่งยึดพื้นที่ป่าและการแบ่งสรรผลประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรมระหว่างรัฐ บริษัทเอกชนและชุมชน
“พี่น้องชนเผ่าพื้นเมืองไม่ประทับใจกับมติแบบนี้ แต่ประเทศภาคีสมาชิกเขาคงโอเค เขาไม่ได้อยากลงขัน เขาอยากจะเป็นการลงทุนไป” แกนนำชนเผ่าพื้นเมืองจากประเทศไทยกล่าว
การสรุปแนวทางการเงินนี้ยังมีปัญหา เพราะว่าไม่ได้รวมถึงการคำนวณมูลค่าความสูญเสียและเสียหายจากผลกระทบทางสภาพภูมิอากาศ (Loss and Damage) เช่น กรณีชุมชนที่ได้รับความเสียหายจากโลกร้อนโดยไม่สามารถแก้ไขดังเดิมได้หรือต้องอพยพ ซึ่งแม้ว่าการประชุมโลกร้อนเมื่อปีก่อน ทั่วโลกจะพากันตื่นเต้นว่าจะมีการช่วยเหลือทางการเงินกับผลกระทบเช่นนั้น แต่การคิดแบบนี้กลับไม่ถูกผนวกรวมกับการเงินใหม่ เพราะอาจจะมีข้อผูกมัดความรับผิดชอบต่อประเทศพัฒนาแล้วสูง

งบต้องถึงมือชนเผ่าพื้นเมือง
ระหว่างที่การถกเถียงเรื่องเงินโลกร้อนเป็นเกมการต่อรองระหว่างประเทศ อีกทางหนึ่ง ยังเป็นเกมการเงินที่กระจุกอยู่กับคนบางกลุ่ม
กิตติศักดิ์มองว่าโอกาสที่งบประมาณโลกร้อนจะมาถึงมือชุมชนรากหญ้าหรือชนเผ่าพื้นเมืองนั้นน้อยมาก เพราะที่ผ่านมา งบมักจะถูกจัดสรรให้ผ่านภาครัฐหรือมูลนิธิขนาดใหญ่มาโดยตลอด
องค์กร Norway Rainforest Fund ติดตามการกระจายงบโลกร้อนแล้วพบว่า งบประมาณตลอดสิบสี่ปีที่ผ่าน (2011-2020) มาถึงมือชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นน้อยมาก นับว่าน้อยกว่า 1% ของงบจากประเทศที่พัฒนาแล้วเพื่อส่งเสริมประเทศกำลังพัฒนาในด้านการลดและปรับตัวรับเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (OAD)
รายงานพบว่า ช่วงสี่ปีที่ผ่านมา งบที่กระจายให้โครงการที่ระบุถึงชนเผ่าพื้นเมืองหรือชุมชนท้องถิ่นนั้นมีทิศทางเพิ่มมากขึ้น แต่กระนั้น งบก็ยังกระจุกกับโปรเจกขนาดใหญ่ ที่จ่ายเงินเข้าบริษัทที่ปรึกษา รัฐบาล หรือองค์กรอนุรักษ์ต่างประเทศ ซึ่งเป็นองค์กรส่วนน้อยแต่ได้งบมากกว่าครึ่ง ทำให้งบไปถึงมือเอ็นจีโอท้องถิ่น องค์กรชุมชนหรือชนเผ่าพื้นเมืองขนาดเล็กโดยตรงน้อย
ฐานข้อมูลชี้ว่า มีโครงการเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นในไทยได้งบเฉลี่ยปีละ 16 ล้านบาทระหว่างปี 2011-2024 โดยนับเป็น 27 โครงการ นำโดยองค์กร เช่น RECOFT, OXFAM และ WWF
เพื่อทลายข้อจำกัดนี้ สองปีก่อน เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองในเอเชียได้ตั้งกองทุนขึ้นมาบริหารจัดการงบเพื่องานโลกร้อนและความหลากหลายทางชีวภาพเอง “Indigenous People of Asia Solidarity Fund” (IPAS) มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาการเข้าถึงกองทุนโลกร้อนส่วนกลาง พร้อมถึงกองทุนอื่นๆ กระจายเงินทุนให้ถึงมือชุมชนโดยตรง
กิตติศักดิ์ ในฐานะกรรมการกองทุนภูมิภาคย่อยลุ่มน้ำโขงเล่าว่า วันนี้ มีสิบชุมชนนำร่องจากแต่ละภาคของประเทศไทยกำลังพัฒนาโครงการ เสนอรับเงินจากองทุนนำร่อง โดยเป็นโครงการพัฒนาการดูแลป่าต้นน้ำและการจัดการทรัพยากรประมง
“อย่างที่เราทราบ ถ้าผ่านกลไกการเงินของรัฐ จะมีข้อจำกัดเยอะ ที่สำคัญยังขึ้นอยู่กับว่าใครเข้าถึงได้มากกว่ากันโอกาสที่ชุมชนจะได้ทุนก็น้อย”
ทั่วโลก ชนเผ่าพื้นเมืองส่วนมากอาศัยอยู่ในบริเวณผืนป่า ซึ่งเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์กับแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพสำคัญ นั่นทำให้พวกเขาเป็นเสมือนคนด่านหน้าหรือครูผู้สะสมองค์ความรู้และไลฟ์สไตล์ที่อยู่ร่วมอย่างสมดุลกับธรรมชาติ

ภาพ : ศ.สุริชัย หวันแก้ว กับบูธประเทศไทย
ด้านศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมองว่า การแก้ไขโลกร้อนนั้นต้องเรียนรู้จากศาสตร์ที่หลากหลาย เขาเองก็เป็นตัวแทนจากคนสายสังคมศาสตร์ที่จากประสบการณ์ไปร่วมประชุมโลกร้อนที่บากูปีนี้และได้ร่วมแลกเปลี่ยนกับชนเผ่าพื้นเมืองจากหลากหลายประเทศในกิจกรรมคู่ขนาน ที่เกิดขึ้นนอกห้องเจรจาหลัก เกี่ยวกับบทบาทขององค์ความรู้ท้องถิ่นพบกับ
เขามองว่า อำนาจของความรู้จัดการโลกร้อนส่วนใหญ่ยังตั้งบนวิทยาศาสตร์กระแสหลักและมักมองว่าเทคโนโลยีเป็นทางออกหลัก แต่การแก้ไขโลกร้อนนั้นต้องเรียนรู้จากศาสตร์ที่หลากหลาย
“เราต้องเรียนรู้จากความรู้หลากหลาย ทั้งฟังเสียงนักวิทยาศาสตร์จากซีกโลกใต้และความรู้ของชนเผ่าพื้นเมือง” สุริชัยอธิบาย “ถึงพวกเรา หรือแม้แต่ตัวผมเองจะไม่ใช่ชนเผ่าพื้นเมืองเอง เราก็สามารถเชื่อมโยงกับชนเผ่าพื้นเมืองได้ไม่มากก็น้อย เพราะพวกเขายังมีความเกี่ยวข้องผูกพันกับพื้นที่ ที่เราลืมไปเยอะแล้ว เราก็เรียนรู้จากเขา”
เรียบเรียง: ณิชา เวชพานิช