จับตาประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติภาคเหนือตอนบน ประจำปี 2568

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุมสิริภูมิ ชั้น 1 โรงแรมฮอลิเดย์การ์เด้น จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการจัดการสัมมนาเพื่อประเมินสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน จัดโดยสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ร่วมกับ มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ และเครือข่ายองค์ภาคประชาชนภาคเหนือ

โดยมีสาคร สงมา ประธานสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นผู้กล่าวเปิดงานและชี้แจงวัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้

สาครเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของบุคลากรภาคประชาสังคมจากรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ พร้อมทั้งแสดงความชื่นชมต่อพลังของคนรุ่นใหม่ที่เข้ามามีบทบาทในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งนับเป็นความเคลื่อนไหวที่มีชีวิตชีวาและควรค่าแก่การสนับสนุน โดยเฉพาะการรวมตัวของคนหลายรุ่นในเวทีเดียวกัน ที่ไม่เพียงแต่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ หากยังเป็นการเชื่อมต่อระหว่างความรู้ ความทรงจำ และพลังการขับเคลื่อนของคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่าได้อย่างกลมกลืน

สาครได้ยกประเด็นสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาหมอกควัน การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ความไม่เป็นธรรมทางทรัพยากรที่เกิดจากกลไกตลาด และแนวทางการพัฒนาที่ไม่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งในหลายกรณีกลายเป็นการแก้ปัญหาที่ผิด เช่น การอพยพชุมชนออกจากพื้นที่อนุรักษ์เพื่อขยายพื้นที่สีเขียวโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิตของชาวบ้าน เขาย้ำว่าการพัฒนาใดก็ตามต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คน ไม่ใช่เพียงเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือการสนองนโยบายระยะสั้นของรัฐ

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือความคาดหวังของการจัดงานในครั้งนี้ ซึ่งเน้นการพบปะและการสื่อสารระหว่างคนทำงานในภาคเหนือจากสายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ทำงานด้านสิทธิชุมชน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมให้มีการรวบรวมข้อมูลสถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากภาคประชาชนเพื่อใช้ในการวิเคราะห์และเสนอนโยบายต่อไป อันจะนำไปสู่การสร้าง “วาระประชาชน” ที่สะท้อนปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของชุมชน

การเมืองเรื่องชีวิต โดย ศ.อรรถจักร สัตยานุรักษ์ 

ศ.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พูดถึงหัวข้อที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในสังคมไทยในปัจจุบันนั่นคือ “การเมืองของชีวิต” ซึ่งไม่ใช่แค่การเมืองในระดับของรัฐหรือรัฐบาล แต่เป็นการเมืองที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของพลเมืองทุกคนในสังคม  ศ.อรรถจักรได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ที่ทำให้พลเมืองไทยไม่สามารถแยกออกจากกันได้จากรัฐและการเมืองได้อีกต่อไป

ศ.อรรถจักร์มองว่าในอดีตเรามักจะได้ยินคำว่า “ชาวบ้าน” ที่หมายถึงคนที่ไม่ค่อยมีสิทธิหรือเสียงในการตัดสินใจทางการเมืองและสังคม พวกเขามักจะถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีอำนาจ หรือไม่สามารถแสดงออกทางการเมืองได้ แต่ในวันนี้ คำว่า “ชาวบ้าน” ได้ถูกแทนที่ด้วย “พลเมือง” ซึ่งหมายถึงการที่คนทั่วไปในสังคมมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่ส่งผลต่อชีวิตของตนเอง การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการตระหนักรู้ถึงสิทธิในฐานะพลเมืองของประเทศ ที่ไม่เพียงแต่เป็นการยกระดับสถานะในสังคมเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองที่ทำให้การเข้ามามีส่วนร่วมของทุกคนเป็นสิ่งที่จำเป็นและถูกต้อง

การเคลื่อนไหวของกลุ่มชนชั้นล่างหรือกลุ่มชนชาติพันธุ์ต่างๆ ก็สะท้อนให้เห็นถึงการสร้างพื้นที่สำหรับทุกคนในสังคมในการมีบทบาทในการกำหนดทิศทางของสังคมและการพัฒนาเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงนี้จึงไม่ใช่แค่การปรับปรุงสถานะของกลุ่มคนที่มีอำนาจทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการก้าวข้ามจากการเป็น “ชาวบ้าน” ไปสู่การเป็น “พลเมือง” ที่มีสิทธิเท่าเทียมกันในทุกมิติ

การเปลี่ยนแปลงจาก “ชาวบ้าน” สู่ “พลเมือง” นั้นไม่ใช่กระบวนการที่ราบรื่นหรือปราศจากความขัดแย้ง ในขณะที่พลเมืองเริ่มมีบทบาทในการตัดสินใจทางการเมืองมากขึ้น รัฐกลับยังคงพยายามรักษาโครงสร้างอำนาจแบบเดิม ความขัดแย้งนี้สะท้อนถึงความแตกต่างในมุมมองของสิทธิ ความเป็นธรรม และการจัดการทรัพยากรที่จำเป็นในการดำรงชีวิต เมื่อพลเมืองเริ่มตระหนักถึงสิทธิของตนและมีเสียงในการตัดสินใจ รัฐกลับยังคงยึดมั่นในโครงสร้างอำนาจที่มักจะไม่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงที่สะท้อนถึงความต้องการของประชาชน

ในแง่นี้ศ.อรรถจักร์กล่าวว่า การเมืองของชีวิตไม่ใช่แค่เรื่องของการเข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกตั้งหรือการจัดการทางการเมืองเพียงเท่านั้น แต่หมายถึงการที่ทุกคนต้องตระหนักถึงสิทธิของตนเองและพยายามที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของประเทศ โดยที่ทุกคนสามารถเข้าถึงการตัดสินใจและกระบวนการต่างๆ ได้อย่างเท่าเทียม

การเมืองของชีวิตในยุคนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงในเรื่องของสิทธิทางการเมือง แต่ยังครอบคลุมถึงสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนควรมี สิ่งแวดล้อมที่ดีและยั่งยืนมีผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน การเมืองในปัจจุบันจึงต้องคำนึงถึงความสำคัญของการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน เพื่อให้พลเมืองทุกคนสามารถใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น

การเปลี่ยนแปลงในทัศนคติของพลเมืองต่อสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดความตระหนักถึงการปกป้องธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาป่า การจัดการน้ำ หรือการลดมลภาวะ ทั้งหมดนี้เป็นประเด็นสำคัญในการพัฒนาการเมืองของชีวิต เพราะการเมืองในวันนี้ไม่สามารถแยกออกจากสิ่งแวดล้อมได้

การเมืองของชีวิตในยุคนี้ยังสะท้อนถึงการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์สาธารณะ การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มชนชาติพันธุ์เป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้รับสิทธิพื้นฐานในการมีชีวิตที่ดีขึ้น การต่อสู้ในเชิงนโยบายและการเมืองในวันนี้จึงไม่ใช่การเรียกร้องสิทธิของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นการเรียกร้องให้ทุกคนในสังคมได้รับความเป็นธรรมและความเท่าเทียมกัน

การต่อสู้ในลักษณะนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักรู้ถึงสิทธิในฐานะพลเมือง ที่ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ การศึกษา หรือสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติในที่สุด การเมืองของชีวิตคือการสร้างสมดุลระหว่างการปกครองของรัฐและการมีส่วนร่วมของพลเมือง เพื่อให้ทุกคนในสังคมสามารถมีชีวิตที่ดีและยั่งยืน การเมืองที่ยั่งยืนจะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกันระหว่างพลเมืองและรัฐ ซึ่งไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรและการตัดสินใจทางการเมือง แต่ยังเกี่ยวข้องกับการเคารพในสิทธิและความเป็นมนุษย์ของทุกคนในสังคม

ศ.อรรถจักร์กล่าวสรุปว่า การเมืองของชีวิตจึงเป็นมากกว่าการเมืองในแง่ของการปกครองหรือการเลือกตั้ง แต่คือการเคารพและยอมรับในสิทธิพื้นฐานของทุกคนในการมีชีวิตที่ดี การพัฒนาสังคมที่ยั่งยืนจะต้องเกิดจากการร่วมมือกันของทุกฝ่ายในสังคม เพื่อให้เราสามารถสร้างสังคมที่มีความเป็นธรรมและความเท่าเทียมกัน

สถานการณ์ปัญหาด้านป่าไม้ ที่ดิน และคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย

ยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญ โดยในปีที่ผ่านมาพชร คำชำนาญ กรรมการสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ได้ทำการนำเสนอปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติและสังคมสูง ทั้งในแง่ของสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของท้องถิ่น

ในฐานะที่เป็นกรรมการของสมัชชาฯ และตัวแทนของมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ พชรได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ที่ได้รับความนิยมในประเทศพัฒนาแล้ว แต่ในประเทศไทยเพิ่งจะได้รับการยอมรับและเริ่มนำมาใช้ในช่วงหลังจากการเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลคสช. ที่รวมไปถึงการบรรจุเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี การใช้คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และส่งเสริมการอนุรักษ์ป่าไม้ยังคงเป็นประเด็นที่ท้าทาย และต้องการการปรับปรุงกลไกการดำเนินการในหลายๆ ด้าน

จากสถานการณ์ที่ผ่านมา พชรได้กล่าวถึง 5 ประเด็นสำคัญที่มีผลกระทบในปี 2564 และ 2565 ได้แก่ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีความรุนแรงมากขึ้น เช่น ไฟป่าที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในปี 2562-2563 ซึ่งส่งผลให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคเหนือที่มีป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่อุณหภูมิและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ในปี 2564 ยังได้เกิดสถานการณ์ฝนตกหนัก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อชุมชนชนเผ่าและฐานทรัพยากรธรรมชาติ การเกิดน้ำท่วมและภัยพิบัติอื่นๆ เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าแนวโน้มของภัยพิบัติจะทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต

ในขณะที่การจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและป่าไม้นั้นมีความสำคัญไม่น้อย แต่สิ่งที่ถูกมองข้ามคือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่ยุติธรรมและการใช้กฎหมายที่ไม่เอื้ออำนวยต่อชุมชน โดยเฉพาะในกรณีของพระราชกฤษฎีกาเรื่องป่าอนุรักษ์ ซึ่งกฎหมายนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เป็นธรรมกับชุมชนท้องถิ่นและชนเผ่าพื้นเมืองที่ต้องพึ่งพาป่าไม้เพื่อการดำรงชีวิต การจัดการตามกฎหมายที่เข้มงวดทำให้พวกเขาถูกจำกัดสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ตนเองเคยใช้มาอย่างยาวนาน ผลลัพธ์ที่ตามมาคือการขาดโอกาสในการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ในส่วนของนโยบายของรัฐบาล พชรได้กล่าวถึงการพัฒนาของกลุ่มทุนใหญ่และบริษัทที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีการลงทุนและการพัฒนาโครงการใหญ่ๆ ที่ส่งผลต่อการใช้ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ชนบทและป่าไม้ ในหลายกรณีการพัฒนาเหล่านี้ไม่ได้มีการคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือสิทธิของชุมชนท้องถิ่น และยังทำให้เกิดปัญหาความไม่เป็นธรรมในการกระจายผลประโยชน์

การที่บริษัทใหญ่ได้เข้ามามีบทบาทในการผลักดันนโยบายต่างๆ อย่างชัดเจนทำให้เกิดการรวมศูนย์อำนาจในการตัดสินใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทุนและชุมชนท้องถิ่น เนื่องจากชุมชนไม่ได้รับผลประโยชน์ที่สมควรจากทรัพยากรธรรมชาติที่ตนเองใช้ดูแล นอกจากนี้ยังเกิดปัญหาความรับผิดชอบในการจัดการสิ่งแวดล้อม เมื่อเกิดภัยพิบัติหรือความเสียหายจากโครงการต่างๆ การหาความรับผิดชอบก็กลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ซึ่งเป็นผลมาจากระบบการจัดการที่ไม่โปร่งใสและไม่มีความรับผิดชอบที่ชัดเจน

ผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะกลุ่มชนเผ่าหรือชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ฐานทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อยและคนยากจนในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในชนบทที่ไม่สามารถปรับตัวหรือรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้เต็มที่ พวกเขามักจะต้องเผชิญกับผลกระทบจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในทุกด้าน ทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง ไฟป่า และปัญหามลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ที่ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้พวกเขายังถูกกล่าวหาว่าทำลายป่าโดยการตัดไม้ทำลายป่า ทั้งๆ ที่หลายครั้งการกระทำเหล่านี้เป็นเพียงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต

พชรได้กล่าวถึงการที่รัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาใช้วิธีการแก้ไขปัญหาที่ผิดพลาดและไม่สามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการป่าไม้ การลดมลพิษ PM 2.5 และการฟื้นฟูระบบนิเวศ ในขณะที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมยังคงรุนแรงขึ้น ปัญหาการพัฒนาเศรษฐกิจและการกระจายผลประโยชน์ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง สิ่งเหล่านี้ทำให้สถานการณ์ของป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทยยังคงย่ำแย่ และไม่มีทิศทางที่ชัดเจนในการแก้ไข

สถานการณ์ปัญหาด้านป่าไม้ ที่ดิน และคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องเผชิญอย่างจริงจัง แม้ว่าจะมีการดำเนินนโยบายต่างๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์ของการแก้ไขปัญหา ทั้งในแง่ของกฎหมาย การพัฒนาเศรษฐกิจ และการดูแลสิ่งแวดล้อม การที่ชุมชนท้องถิ่นและชนเผ่าพื้นเมืองไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอในการจัดการและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ยังเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนในอนาคต

สถานการณ์หมอกควัน ไฟป่า และฝุ่น PM2.5 เมื่อระบบล้าหลังไม่อาจแก้ปัญหาสมัยใหม่

ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานสภาลมหายใจจังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย กล่าวว่าในพื้นที่ภาคเหนืออย่างจังหวัดเชียงใหม่ กำลังเผชิญกับปัญหาหมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงแต่กระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่ยังเป็นสัญญาณสะท้อนถึงโครงสร้างการบริหารจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ล้มเหลว ทั้งจากความล้าหลังของกฎหมาย ระบบราชการที่ซ้ำซ้อน และความเข้าใจที่มีอคติในระดับนโยบายต่อบทบาทของชาวบ้านและชุมชนชาติพันธุ์ในป่าเขา

“ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างมีงบประมาณของตัวเอง ต่างคนต่างมีกฎหมายของตัวเอง ซึ่งแก้ไม่ได้” 

ชัชวาลย์กล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความไร้เอกภาพของกลไกรัฐ ในการแก้ปัญหาหมอกควันและไฟป่า ซึ่งปัญหาใหญ่ไม่ได้อยู่แค่ในป่า หากแต่เกิดจากหลายแหล่งทั้งภาคคมนาคม อุตสาหกรรม การก่อสร้าง การเผาทางการเกษตร และแม้แต่จากโรงไฟฟ้า ข้อมูลเหล่านี้มีอยู่ในงานวิจัยและแวดวงวิชาการ แต่กลับไม่ถูกนำขึ้นมาใช้กำหนดนโยบายหรือสื่อสารต่อสาธารณะอย่างรอบด้าน

ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นคือ “ข้อมูลที่มีอคติและไม่รอบด้าน” ส่งผลให้เกิดการเพ่งเล็งไปยังพี่น้องชนเผ่าและชาวบ้านที่อยู่ในป่าเป็นหลัก ซึ่งนำไปสู่แนวทางการไล่จับและปราบปราม มากกว่าการบริหารจัดการร่วมกับชุมชน ข้อมูลดาวเทียมที่ใช้ตรวจจับจุดความร้อน (Hotspot) มักไม่สามารถตรวจจับแหล่งควันจากอุตสาหกรรมหรือยานพาหนะในเมือง แต่จับได้ในพื้นที่ป่าและเกษตรเท่านั้น จึงกลายเป็นว่าชาวบ้านคือจำเลยสังคม ที่ต้องแบกรับความผิดทั้งระบบ

ในระดับโครงสร้าง ปัญหาหลักอีกประการคือการถ่ายโอนภารกิจระหว่างหน่วยงานอย่างไม่สมบูรณ์ เช่น การถ่ายโอนภารกิจดับไฟป่าจากกรมป่าไม้ไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยไม่มีงบประมาณหรือทรัพยากรสนับสนุนอย่างเพียงพอ ผลที่เกิดขึ้นคือสุญญากาศของความรับผิดชอบ หน่วยงานต้นทางไม่มีอำนาจงบประมาณ ส่วนหน่วยงานที่รับโอนก็ไม่มีศักยภาพเพียงพอจะทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การแก้ปัญหาฝุ่นควันในปัจจุบันยังอิงอยู่กับ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นกฎหมายเชิงรับ กล่าวคือจะสามารถใช้งบประมาณ เครื่องจักร หรือกำลังคนได้ก็ต่อเมื่อ “ภัย” ได้เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น ไม่ได้มุ่งเน้นการป้องกันตั้งแต่ต้นเหตุ ทำให้การแก้ปัญหาในแต่ละปีเป็นเพียง อีเวนต์เฉพาะหน้า มากกว่าจะเป็นการสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง

ชัชวาลย์ยังชี้ว่า ปัญหานี้เกี่ยวพันกับนโยบายที่ดินโดยตรง เพราะที่ดินของชาวบ้านจำนวนมากยังอยู่ในสถานะไม่มั่นคง การประกาศพื้นที่ป่าแบบทับซ้อนกับที่ชาวบ้านอยู่อาศัย ทำให้รัฐไม่สามารถใช้งบประมาณในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหรือบริการสาธารณะใด ๆ เข้าไปได้ ส่งผลให้ชาวบ้านไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการดำรงชีพด้วยการเผาเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพดและอ้อย

“เราต้องปลดล็อกกฎหมายป่าไม้ ให้ชุมชนมีสิทธิในที่ดินอย่างมั่นคง จึงจะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรกรรมที่ยั่งยืนและการจัดการป่าที่มีส่วนร่วมของชุมชน” 

ชัชวาลย์กล่าวพร้อมเสนอแนวทางที่สำคัญอีกประการคือ การออกพ.ร.บ.อากาศสะอาด แทนกฎหมายเก่าที่ล้าหลัง เพื่อให้สามารถควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษได้ทุกประเภทอย่างครอบคลุม และผลักดันมาตรการทั้งด้านการป้องกัน เยียวยา และการรับผิดจากผู้ก่อมลพิษ

ข้อเสนอจากภาคประชาชนไม่ใช่เพียงการเรียกร้องสิทธิ แต่คือการเสนอระบบใหม่ ที่มีรากฐานจากความรู้ ความร่วมมือ และความเข้าใจปัญหาอย่างรอบด้าน ซึ่งรวมถึงการกระจายอำนาจให้จังหวัดหรือท้องถิ่นสามารถออกแบบนโยบายของตนเองได้ตามบริบท เช่น เชียงใหม่มีป่า 70% และรถยนต์กว่า 1.5 ล้านคัน วิธีการแก้ปัญหาจึงต้องต่างจากกรุงเทพฯ หรือจังหวัดที่มีโครงสร้างภูมิประเทศต่างกัน

ในระดับปฏิบัติ ชัชวาลย์เสนอให้มีการสนับสนุนการรวมตัวของภาคประชาชนในทุกจังหวัด เช่น การจัดตั้ง “สภาลมหายใจ” ที่เป็นเวทีในการสื่อสาร เสนอแนวทาง และติดตามการดำเนินงานของรัฐ พร้อมผลักดันให้มีตัวแทนจากชุมชนเข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมการระดับจังหวัดอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ปล่อยให้การตัดสินใจทุกอย่างตกอยู่ในมือของราชการส่วนกลางเพียงฝ่ายเดียว

“ตอนนี้ สิ่งที่เราทำคือ พยายามเสนอให้ระบบการจัดการอิงกับข้อมูลจริง และให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ซึ่งจากแผนปี 2566 ที่เราทำในเชียงใหม่ พบว่าพื้นที่ที่จำเป็นต้องเผาจริงๆ มีเพียง 5% เท่านั้น แต่เมื่อมีนโยบาย Zero Burning ที่ห้ามเผาเด็ดขาด กลับทำให้เกิดการเผาแบบกระจายและไม่สามารถควบคุมได้” 

สุดท้ายชัชวาลย์ย้ำว่า การจัดการปัญหาฝุ่นควันและไฟป่าไม่สามารถฝากไว้กับรัฐฝ่ายเดียวได้อีกต่อไป ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชนที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์จริงในการดูแลทรัพยากรของตนเอง

“เพราะหากเรายังรอการสั่งการจากเบื้องบนโดยไม่ปรับเปลี่ยนระบบใด ๆ ประเทศไทยก็คงต้องอยู่กับฝุ่นและไฟอีกนาน”  ชัชวาลย์กล่าวทิ้งท้าย

การจัดการน้ำในลุ่มน้ำสาละวิน ความเปราะบางของระบบนิเวศกับโครงการผันน้ำยวม

เพียรพร ดีเทศน์ จากสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ได้กล่าวถึงลุ่มน้ำสาละวินในฐานะ “น้องสาวของแม่น้ำโขง” ที่ถือกำเนิดจากแหล่งเดียวกันคือเทือกเขาหิมาลัย โดยแม่น้ำสาละวินนั้นยังคงเป็นแม่น้ำสายสุดท้ายของภูมิภาคที่ยังไหลอย่างอิสระ ไม่มีเขื่อนขวางกั้นในลำน้ำสายหลักตลอดเส้นทางจากต้นน้ำในจีนตอนใต้ จนไหลลงทะเลอันดามันในเขตรัฐมอญ ประเทศเมียนมา

ลุ่มน้ำสาละวินมีความสำคัญอย่างยิ่งในเชิงระบบนิเวศ เพราะยังคงความสมบูรณ์ทั้งทางกายภาพและชีวภาพ โดยเฉพาะพื้นที่ป่าต้นน้ำในเขตชายแดนไทย-เมียนมา ที่ยังไม่ถูกรบกวนจากกิจกรรมพัฒนาในระดับรุนแรงมากนัก อย่างไรก็ตาม แม่น้ำสายนี้ก็ถูกมองจากรัฐและกลุ่มทุนว่าเป็นแหล่งทรัพยากรน้ำและพลังงานขนาดใหญ่ที่รอการใช้ประโยชน์ มีการผลักดันโครงการเขื่อนและโครงการผันน้ำมาโดยต่อเนื่องยาวนานกว่า 20 ปี

หนึ่งในโครงการที่กำลังถูกผลักดันอย่างเข้มข้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคือโครงการผันน้ำยวม เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับเขื่อนภูมิพล ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ของกรมชลประทาน ภายใต้แผนจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐบาลไทย

โครงการนี้วางแผนจะสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำยวม บริเวณรอยต่ออำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ก่อนจะขุดอุโมงค์ส่งน้ำยาวกว่า 62 กิโลเมตร ลอดใต้ภูเขาเพื่อนำน้ำไปลงที่ห้วยแม่งูด ซึ่งไหลเข้าสู่เขื่อนภูมิพล

โดยกรมชลประทานอธิบายว่า การผันน้ำนี้จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนกว่า 1,800 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีแก่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา แทนที่น้ำจากลุ่มน้ำสาละวินจะไหลทิ้งออกสู่ทะเลฝั่งพม่าโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์

แม้ว่าโครงการจะผ่านความเห็นชอบในหลักการจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ แต่กระบวนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการมีส่วนร่วมของประชาชน กลับถูกตั้งคำถามอย่างรุนแรง เครือข่ายภาคประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำสาละวินระบุว่า รายงาน EIA ขาดความน่าเชื่อถือ ทั้งในแง่ของการประเมินผลกระทบที่ต่ำกว่าความเป็นจริง และกระบวนการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นที่ไม่ทั่วถึง โดยระบุผลกระทบว่ามีเพียง 29 ราย 34 แปลงที่ดิน ทั้งที่จากการสำรวจของภาคประชาชนพบว่าอาจมีชาวบ้านได้รับผลกระทบกว่า 39 หมู่บ้าน และหลายพื้นที่อยู่ในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ

นอกจากนี้ ยังมีการนำภาพถ่ายของชาวบ้านไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อนำเสนอในเอกสารรายงานอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นการบิดเบือนกระบวนการมีส่วนร่วม อีกทั้งยังพบว่าการเปิดเผยข้อมูลมีอุปสรรค โดยชาวบ้านต้องเสียค่าใช้จ่ายกว่า 20,000 บาทเพื่อเข้าถึงรายงานฉบับเต็ม

เพียรพรย้ำว่า โครงการขนาดใหญ่อย่างการผันน้ำยวมไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานและการจัดการน้ำ แต่สะท้อนถึงโครงสร้างอำนาจในการตัดสินใจ ที่ยังไม่เปิดพื้นที่ให้กับเสียงของชุมชนท้องถิ่น การพัฒนาที่อ้างว่าเพื่อประโยชน์ส่วนรวม กลับถูกตั้งคำถามว่าเป็นการกดทับสิทธิของชาวบ้าน และละเลยระบบนิเวศสำคัญของภูมิภาค เธอเน้นว่าหากรัฐยังเดินหน้าโครงการเหล่านี้โดยไม่ฟังเสียงของประชาชนที่อยู่แนวหน้าในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ เราจะไม่ได้เพียงแค่สูญเสียน้ำจากแม่น้ำสาละวิน แต่ยังสูญเสียคุณค่าของธรรมชาติ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความยุติธรรมทางสังคมในระยะยาว