เราจะทำให้คนอื่นรู้จักและเรียกเราในนามว่า “กูย”

เราทุกคนต่างรู้จัก 12 นักษัตร ใช่ไหม ?? … ชวด ฉลู ชาล เถาะ …

แล้วรู้มั้ยว่า ชื่อของ 12 นักษัตร เป็นภาษาอะไร ??

“หลายคนอาจจะเข้าใจว่า ชื่อเรียกของ 12 นักษัตร เป็นภาษาเขมร แต่จริงๆแล้วนี่เป็นอีกภาษาหนึ่งที่ต่างออกไปจากภาษาเขมรอย่างสิ้นเชิงครับ”

ศุรวิษฐ์ ศิริพาณิชย์ศกุนต์ เกิดเมื่อปี 2518 อาศัยอยู่ที่บ้านหนองขวาว ต.หนองขวาว อ.ศิขรภูมิ จ.สุรินทร์ เป็นผู้สืบสายเลือดจากชาติพันธุ์ “กูย”

เขายืนยันว่า ชื่อเรียกของ 12 นักษัตรที่เราคุ้นหูกันมายาวนาน เป็นภาษาดั้งเดิมของชาวกูย

“คำว่า ไก่ ภาษากูย เรียกว่า ระกา ตรงกันเลยครับ ส่วนไก่ในภาษาเขมร เรียกว่า เมือน … สุนัข ภาษากูยก็ออกเสียงว่า จอ ส่วนภาษาเขมรเรียกสุนัขว่า จะแก … หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ ลิง คนกูยเรียกว่า วอก แต่ในภาษาเขมรจะเรียกว่า สะวา … จะเห็นได้ชัดเลยว่า ชื่อเรียกของปีนักษัตรเป็นภาษากูยโบราณ แต่คนส่วนใหญ่ไปเข้าใจผิดว่าเป็นภาษาเขมร”

“และจากตัวอย่างนี้ เราก็อยากจะยืนยันว่า ภาษากูย แตกต่างจากภาษาเขมรอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นชาติพันธุ์กูย ซึ่งอาศัยอยู่ในหลายจังหวัดทางภาคอีสานใต้ของไทยร่วมกับชาติพันธุ์เขมรและลาว จึงเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งที่มีอัตลักษณ์ของตัวเอง ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชาวเขมร”

“กูย” เป็นชาติพันธุ์ที่สืบสายเลือดกันมาอย่างยาวนานหลายพันปี ปัจจุบันกระจายตัวตั้งถิ่นฐานอยู่ใน 4 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวีนออกเฉียงใต้ ที่ประเทศไทย กัมพูชา ลาว และเวียดนาม แต่ในความเห็นของศุรวิษฐ์ ชาวกูยในอาเซียนกลับไม่ได้ถูกพูดถึงและไม่ถูกยอมรับว่าเป็นกลุ่มคนที่มีอัตลักษณ์เป๋นของตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น แต่มักถูกเหมารวมว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกับชาวเขมร ทั้งที่เขาเคยทำโครงการสำรวจฐานข้อมูลชาติพันธุ์กูยในประเทศไทย และพบว่า มีคนเชื้อสายกูยอาศัยอยู่ในประเทศไทยถึงประมาณ 3 ล้านคน

“ถ้าไปดูหลักฐานในประวัติศาสตร์ต่างๆ ก็จะพบว่า กูย เคยเป็นรัฐ ที่มีอาณาจักรเป็นของตัวเอง” ศุรวิษฐ์ กล่าว

“ในกฎหมายตราสามดวงของกรุงศรีอยุธยา เขียนถึงชาวต่างชาติที่เข้ามาค้าขายกับอยุธยา โดยระบุชื่อชาติต่างๆไว้อย่างชัดเจน อย่าง ฝรั่งเศส ฮอลันดา ซึ่งในชื่อเหล่านั้นมีคำว่า กูย รวมอยู่ด้วย … หรือในอีกข้อหนึ่งที่ระบุว่า ห้ามชาวอยุธยายกลูกสาวให้ชาวต่างชาติ ชื่อของชาติที่ถูกระบุไว้ ก็มี กูย เป็นหนึ่งในนั้นเช่นเดียวกัน”

เมื่ออ้างอิงตามหลักฐานเช่นนี้ ศุรวิษฐ์ จึงมั่นใจว่า ชาวกูยที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยทางตอนใต้ของภาคอีสานในปัจจุบัน มีบรรพบุรุษเป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ที่นี่มาตลอดหลายพันปี ไม่ใช่กลุ่มที่อพยพมาจากดินแดนอื่น เขายังบอกอีกว่า เมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งจะขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ที่มีอายุราว 5,000 ปี ที่ จ.นครราชสีมา และมี DNA เป็นสายพันธุ์เดียวกับชาวกูยในปัจจุบัน

“กูย ไม่ใช่ชาติพันธุ์เดียวกับ เขมร ในปัจจุบัน แต่สืบเชื้อสายมาจากชาติพันธุ์ ขอม ในอดีต” ศุรวิษฐ์ อธิบายที่มาของกูยเพิ่มเติม  

“มีข้อมูลทางวิชาการที่ระบุว่า ภาษากูย เป็นภาษาตระกูลเดียวกับ มอญ-เขมร แต่เราสืบพบว่า ตัวอักษรที่ใกล้เคียงกับภาษากูยมากที่สุด จะถูกพบเห็นได้ตามปราสาทต่างๆที่สร้างขึ้นโดยอาณาจักรขอมในอดีต ซึ่งไม่ใกล้เคียงกับภาษาเขมรแม้แต่น้อย ดังนั้นเราจึงเชื่อว่า ชาวกูย เป็นลูกหลานของชาวขอม”

“แม้แต่คำว่า ขอม ที่สะกดเป็นภาษาไทย ก็มีเสียงใกล้เคียงกับคำในภาษากูยครับ … ขอม มาจากคำว่า กรอม หรือเพี้ยนมาจาก คอม ซึ่งแปลว่า ชนชั้นที่เรียนเก่ง บัณฑิต หรือ ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างๆ ทำให้เชื่อได้ว่า ขอม ก็คือชื่อเรียกชนชั้นปกครองของชาวกูย”

ขอม เป็นกลุ่มคนที่มีบันทึกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างๆมากมาย จึงทำให้เป็นอาณาจักที่มีความรุ่งเรืองอย่างมากในอดีต โดยเฉพาะวิชา “คชศาสตร์” หรือ ศาสตร์ในการดูแล “ช้าง” สัตว์บกขนาดใหญ่ที่สุด และมีบทบาทสำคัญในการทำศึกสงคราม ซึ่งวิชานี้ ก็ถูกสืบทอดเป็นมรดกมาถึงชาวกูย

“องค์ความรู้เรื่องคชศาสตร์ของชาวกูย เป็นมรดกที่ตกทอดมานับพันปีแล้ว ช้างคือสัตว์ที่แสดงถึงความรุ่งเรืองในอดีต กลุ่มชนที่สามารถกำกับช้างได้ก็จะเป็นมหาอำนาจ … ตัวอย่างเช่น เชือกปะกำที่ใช้คล้องช้าง เป็นเชือกที่ทำมาจากหนังควาย 3 ตัว เหนียวแน่นมาก ไม่ขาดง่าย ก็เป็นศาสตร์ที่ตกทอดกันมา”

“ก่อนฝรั่งเศสจะเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พื้นที่นี้ยังไม่มีเส้นแบ่งเขตแดนความเป็นรัฐชาติที่ชัดเจน ชาวขอม หรือ ชาวกูย ก็อยู่กันอย่างกระจายตามพื้นที่ต่างๆ และเมื่อลากเส้นแบ่งเขตแดนเป็นไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม ชาวกูย จึงถูกตัดขาดออกจากกัน กลายเป็นคนกลุ่มน้อยในแต่ละรัฐ และเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีรัฐเป็นของตัวเอง”

“แม้แต่ในประเทศไทย เราก็ถูกตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “ส่วย” เพราะในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 3 ถึงต้นรัชกาลที่ 4 กูยในพื้นที่อีสานใต้ ตกเป็นเมืองขึ้นของสยาม ก็ส่งเครื่องบรรณาการเป็นงาช้าง ผ้าไหม ผ้าแพร พืชพรรณธัญญาหารให้ทุกปี ซึ่งก็คือการ ส่งส่วย จึงถูกเรียกว่าส่วยมาตั้งแต่นั้น” ศุรวิษฐ์ สันนิษฐานถึงหลายสาเหตุปัจจัยที่ทำให้ชาติพันธุ์กูยถูกลืมเลือนไป

“ดังนั้น กูย คือ ขอม … กูย ไม่ใช่ ส่วย … ส่วยเป็นชื่อที่คนนอกเรียกเรา … และ กูย ไม่ใช่เขมร … เพียงแต่อารยะธรรมและโบราณต่างๆที่สำคัญของอาณาจักรขอมในอดีต ไปอยู่ในเขตแดนของกัมพูชาในปัจจุบัน เช่น นครวัดนครธม จึงทำให้ถูกเหมารวมเป็นเขมรไปทั้งหมดเลย”

ดังนั้น สาเหตุสำคัญที่ทำให้ กูย ยังคงถูกมองผ่านอย่างไม่มีตัวตน ศุรวิษฐ์ วิเคราะห์ว่า เป็นเพราะ “ภาษากูย” กำลังเลือนหายไปอย่างมีนัยสำคัญจากหลายปัจจัย ทั้งการไม่มีอาณาเขตเป็นรัฐชาติของตัวเอง การอยู่กันอย่างกระจัดกระจายในหลายประเทศ ขาดการส่งต่อภาษาเขียนและตัวอักษรมาจากบรรพบุรุษ การถูกล้อเลียนว่าเป็น “คนอื่น” มาตลอดหลายสิบปีทำให้ไม่กล้าใช้ภาษาพูดของตัวเอง รวมถึงการถูกเปลี่ยนแปลงคำเรียกสถานที่ต่างๆที่เคยเป็นภาษากูยไปเป็นภาษาอื่น

“ผมยกตัวอย่างที่ อ.ศิขรภูมิ บ้านผมเลย ปราสาทศิขรภูมิ อายุกว่า 1,300 ปี ที่เรารู้จักในปัจจุบัน แต่เดิมไม่ได้ใช้ชื่อ ศิขรภูมิ แต่มีชื่อว่า “ระแงง” ซึ่งเป็นคำดั้งเดิมในภาษากูย ที่แปลว่า ต้นติ้ว หรือ ผักติ้ว ในภาษาไทย … แต่ถูกกรมศิลปากรมาเปลี่ยนชื่อเป็น ศิขรภูมิ ตามชื่อเดียวกับชื่ออำเภอซึ่งตั้งตามนามสกุลของเจ้าเมืองนี้ในอดีต เมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่ผ่านมานี่เอง และไม่ใช่แค่ชื่อปราสาทที่เปลี่ยนไป แม้แต่ชื่อสถานที่อื่นๆเช่น ชื่อของโรงเรียนในพื้นที่ ก็เปลี่ยนจาก ระแงง ไปเป็น ศิขรภูมิด้วย … เมื่อเป็นเช่นนี้ ภาษากูย ก็ค่อยๆเลือนหายไป”

“ปัจจุบันมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง อยู่ใน ต.จารพัต อ.ศิขรภูมิ จ.สุรินทร์ เขียนชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านพม่า” … คนมาที่นี่ต่างก็สงสัยกันว่า ที่นี่เป็นชุมชนชาวกูย ทำไมชื่อบ้านพม่า หรือว่าเคยมีชาวพม่ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ แต่จริงๆแล้ว หมู่บ้านนี้มีชื่อเป็นภาษากูย เรียกว่า “ผะมา” ซึ่แปลว่า “ฝนตก” แต่พอมาตั้งชื่อและฟังไม่ชัด ชาวกูยก็อธิบายเป็นภาษาไทยไม่ได้ ก็ถูกตั้งชื่อว่า พม่า”

“ชื่อ ต.จารพัต ก็เช่นกัน ถ้าเราไปค้นหาคำว่า “จารพัต” ในพจนานุกรม ก็จะพบว่าเป็นคำที่ไม่มีความหมายในภาษาไทย และไม่มีความหมายในภาษาอื่นๆในภูมิภาคนี้ด้วย นั่นเป็นเพราะชื่อเดิมของตำบลนี้ คือชื่อเมืองเก่าแก่ดั้งเดิมของชาวกูย โดยออกเสียงเป็นภาษากูยว่า “จารผืด” … ซึ่งคำว่า “ผืด” แปลว่า ใหญ่ ส่วน “จาร” เป็นชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง ดังนั้น จารผืด ก็คือชื่อเมืองหนึ่งในอดีตที่มีต้นจารใหญ่เป็นสัญลักษณ์ … ดังนั้น จารพัต เป็นชื่อใหม่ที่เขียนขึ้นโดยเพี้ยนมาจากภาษากูย จึงไม่มีความหมายในภาษาไทย”

ปัจจุบันกลุ่มคนที่สืบเชื้อสายชาติพันธ์กูยในประเทศไทย อาศัยอยู่ในแถบอีสานใต้ ที่ นครราชสีมา สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี จึงยังมีทั้งสถานที่และชื่อเรียกสิ่งต่างๆอีกมากมายที่ศุรวิษฐ์ ยืนยันว่า เคยมีคำเรียกดั้งเดิมเป็นภาษากูยแต่ถูกทำให้เปลี่ยนแปลงไปตามชนชั้นปกครองที่เข้ามาในยุคสมัยต่างๆ และเมื่อชาวกูย มีสถานะเป็นเพียง “ผู้ถูกปกครอง” มาตลอด พวกเขาก็เป็นฝ่ายที่ต้องปรับตัวไปตามสภาพสังคม ทำให้แม้แต่ชาวกูยรุ่นใหม่ปัจจุบัน (พ.ศ.2567) ก็ไม่เข้าใจภาษากูยแล้ว

“สมัยที่ผมเรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย (ประมาณปี 2533) ซึ่งเป็นชั้นเรียนที่เราต้องเข้าไปเรียนในเมืองแล้ว ก็ต้องไปอยู่ร่วมในสังคมพหุวัฒนธรรม แต่แม้จะเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีทั้ง ไทย ลาว เขมร กูย แต่การพูดภาษากูยของเราก็ยังเป็นเหมือนคนกลุ่มน้อยในวัฒนธรรมที่หลากหลายอยู่ดี พอเราพูดภาษากูยกันเองก็จะโดนเพื่อนล้อ ไม่เหมือนคนที่พูดไทย ลาว หรือเขมร มันก็ส่งผลให้พวกเราไม่กล้าพูดภาษากูยเวลาอยู่ในสังคมใหญ่ และมันก็จางหายไปเรื่อยๆ ยิ่งมาในยุคนี้ที่โรงเรียนประถมขนาดเล็กถูกตามชุมชนถูกยุบไปเยอะแล้ว การเข้าไปอยู่ในสังคมพหุวัฒนธรรมของเด็กรุ่นใหม่ ก็ต้องเริ่มตั้งแต่ชั้นประถมเลย เด็กๆจึงไม่พูดภาษากูยกันเลย”

“ชาวกูย เป็นกลุ่มคนที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมอื่นมาตลอด เราจึงปรับตัวได้ดีครับ ชาวกูยจึงพูดและเข้าใจภาษาอื่นได้ ทั้งภาษาไทย ลาว เขมร หรือแม้แต่ภาษาอังกฤษก็พอได้ … แต่ในทางตรงกันข้าม คนชาติพันธุ์อื่นที่อยู่ร่วมกับชาวกูย กลับไม่เข้าใจภาษากูยเลย เพราะเราเป็นฝ่ายปรับตัวเข้าหาเขาตลอด”

“ภาษากูยที่หายไป” จึงเป็นความกังวลอย่างมากสำหรับชาวกูยอายุ 50 ปี (เขียนเมื่อ พ.ศ.2567) ที่มีความตั้งใจจะรักษาละส่งต่ออัตลักษณ์ของชาติพันธุ์กูยต่อไปยังคนรุ่นหลัง

ศุรวิษฐ์ สรุปให้เห็นถึงสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อการหายไปอย่างถาวรของภาษากูย โดยแบ่งชาวกูยในประเทศไทยออกเป็น 3 กลุ่ม ตามสถานะการใช้ภาษาดั้งเดิม

กลุ่มที่ 1 … รักษาการพูดภาษากูยในชุมชนไว้ได้อย่างเข้มแข็ง … เป็นกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ชนบท การพัฒนาจากภายนอกยังมาถึงไม่มากนัก

กลุ่มที่ 2 … ชาวกูยที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับพหุวัฒนธรรมที่เข้ามาในพื้นที่พร้อมการพัฒนาต่างๆ … กลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด ส่วนใหญ่ปรับตัวไปใช้ภาษาไทย ลาว เขมร ตามวัฒนธรรมใหม่ที่เข้ามาเพื่อให้อยู่รอดในสังคมที่เปลี่ยนไป เป็นกลุ่มที่สำรวจพบว่า พ่อแม่พูดภาษากูยกับลูกหลานน้อยลงไปจนถึงไม่พูดเลย เด็กๆในกลุ่มนี้บางส่วนอาจยังฟังภาษากูยได้ แต่ไม่สามารถสื่อสารโต้ตอบได้

กลุ่มที่ 3 … เคยอยู่ในสถานะเป็นกลุ่มที่ 2 มาก่อน แต่ถูกกลไกทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองการปกครองเข้ามาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนชื่อหมู่บ้าน สถานที่ต่างๆจากภาษากูยไปเป็นภาษาอื่นจนหมดสิ้น

“แต่เดิมเลยชาวกูยยังมีค่านิยมจะแต่งงานเฉพาะกับคนในเผ่ากันเอง แต่ย้อนไปประมาณ 3 รุ่นที่ผ่านมา คือประมาณร้อยกว่าปีก่อน ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าของผม ก็เริ่มเปลี่ยนไปยอมรับการแต่งงานกับคนเผ่าอื่น เมื่อมีคนเผ่าอื่นเข้ามา กลายเป็นว่า ชาวกูยปรับตัวไปใช้ภาษาของเขามากกว่าที่จะสื่อสารด้วยภาษาของตัวเอง”

“ถ้าเป็นที่บ้านผม (ศิขรภูมิ) คนรุ่นผมคือ อายุ 40-50 ปี ถ้าคุยกันเอง ก็ยังพอสื่อสารภาษากูยกันได้ แต่ถ้าเป็นรุ่นที่อายุ 30-40 ปี เขาจะไม่พูดกูยกันแล้วแต่ยังฟังได้ … ส่วนเด็กรุ่นใหม่ พูดแต่ภาษาไทยกับภาษาลาว ไม่เข้าใจภาษากูยเลย”   

“ฟื้นฟูภาษากูยให้กลับคืนมาอีกครั้ง” จึงเป็นภารกิจสำคัญที่ ศุรวิษฐ์ ประกาศอย่างเข้มแข็งว่า จำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วน และมั่นใจว่ามีหนทางที่สามารถทำได้

“ที่ผ่านมาเราเคยพยายามสอดแทรกโดยการประสานกับโรงเรียนตะเคียนกูยวิทยา อ.สำโรงทาบ จ.สุรินทร์ ให้เปิดสอนวิชาภาษากูยกับให้กับเด็กชาติพันธุ์กูยมาแล้วทั้งในระดับประถมและมัธยม ซึ่งแรกๆก็ได้รับความสนใจค่อนข้างดี แต่ความสนใจจะเรียนก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆในเวลาต่อมา เพราะเป็นวิชาที่ไม่ได้ถูกนำวัดผลการเรียน ไม่มีเกรด เด็กๆก็ต้องไปให้ความสำคัญกับวิชาอื่นที่มีผลต่อการเรียนต่อของเขามากกว่า” 

เมื่อความพยายามครั้งแรกในการเปิดเรียนภาษากูยไม่ประสบความสำเร็จ ในปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา ศุรวิษฐ์ ซึ่งเป็นกรรมการบริหารชมรมชาวกูยและสมาคมชาติพันธุ์กูย จึงตั้งเป็น “คณะจัดทำพจนานุกรมกูย-บรู นานาชาติ ฟื้นฟูภาษาแม่” โดยรวบรวมนักวิชาการชาวกูย นักภาษาศาสตร์ และปราชญ์ชาวบ้าน จากทั้ง 4 ประเทศที่มีชาวกูยตั้งถิ่นฐานอยู่ คือ ไทย กัมพูชา ลาว และเวียดนาม มาร่วมกันจัดทำพจนานุกรมภาษากูย โดยเทียบกับภาษาต่างๆในแต่ละชาติ

“พจนานุกรมภาษากูย จะเปิดตัววันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 ครับ จะมีทั้ง กูย-ไทย กูย-กัมพูชา กูย-ลาว กูย-เวียดนาม และ กูย-อังกฤษ ซึ่งเรารวบรวมมาได้ประมาณ 2,000 คำ”

“พจนานุกรมนี้ เป็นหนึ่งในแผนระยะยาวที่เราจะฟื้นฟูเพื่อสร้างตัวตนของชาติพันธุ์กูยให้กลับมาแข็งแรงขึ้นครับ เพราะนอกจากเรื่องภาษาที่เราจะใช้พจนานุกรมเป็นฐานข้อมูลหลักแล้ว เรายังรวบรวมนักวิชาการมาทำเนื้อหาเกี่ยวกับประวติศาสตร์ความเป็นมาของกูย และภูมิปัญญาองค์ความรู้ต่างๆที่ได้รับสืบทอดมาด้วย โดยจะประสานเพื่อจัดทำเป็นหลักสูตรเข้าสู่ระบบโรงเรียนอีกครั้ง โดยจะให้เปิดสอนในการศึกษาภาคบังคับตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 1 ไปถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6”

“ความหวังที่สำคัญของเรา ซึ่งจะทำให้ความพยายามครั้งนี้แตกต่างไปจากครั้งก่อน ก็คือ การผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งหากกฎหมายนี้ผ่านการพิจารณาของสภาและมีผลบังคับใช้ ก็จะเปิดกรอบให้โรงเรียนในแต่ละท้องถิ่นสามารถเปิดการเรียนการสอนวิชาภาษาถิ่นของชาติพันธุ์ตัวเองได้ทั่วประเทศ และยังสามารถเปิดรับครูชาติพันธุ์ต่างๆมาสอนในวิชานี้ได้อีกด้วย … ก็จะทำให้เด็กๆได้เรียนภาษาถิ่นของชาติพันธุ์ตัวเองอย่างจริงจัง รวมทั้งเด็กๆชาวกูยด้วย ซึ่งเราก็ได้ทำพจนานุกรมภาษากูย มาเตรียมพร้อมไว้แล้ว”

ศุรวิษฐ์ ศิริพาณิชย์ศกุนต์ อุปนายกสมาคมชาติพันธุ์กูย ภาพ: IMN เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง

ในมุมมองของชาวกูยในวัย 50 ปี อย่าง ศุรวิษฐ์ ที่พยายามจะขับเคลื่อนกิจกรรมมากมายเพื่อรักษาและส่งต่อความเป็น “กูย” ไปยังคนรุ่นต่อไป เขามองว่า การฟื้นฟูภาษากูย จะเป็นประตูบานใหญ่ที่สามารถเชื่อมต่อในการฟื้นทั้งประวัติศาสตร์ องค์ความรู้โบราณ ภูมิปัญญา วิถี ประเพณี วัฒนธรรมของชาติพันธุ์กูยให้กลับคืนมา เพราะเขาเชื่อว่า “กูย” เป็นกลุ่มคนที่มีตัวตน ไม่ควรจะถูกมองข้ามไปเช่นนี้

“ที่ผ่านมา รัฐไม่เคยให้โอกาสพวกเราได้มีตัวตนในฐานะชาวกูย เราก็ต้องพยายามให้โอกาสตัวเอง เราต้องการให้โลกรู้ว่า กูย ก็คือ กูย … ไม่ใช่ เขมร ไม่ใช่ ส่วย”

“คำว่า กูย ในภาษาของเรา แปลว่า คน เหมือนในหลายๆชาติพันธุ์ที่ใช้คำที่เรียกตัวเองโดยมีความหมายว่า คน … ดังนั้นเราจึงต้องการให้คนอื่นรู้จักเราในฐานะ คนชาวกูย”

เรื่อง: ศุรวิษฐ์ ศิริพาณิชย์ศกุนต์ / เขียนและเรียบเรียง: สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา

หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนจากศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)