‘คดีโลกร้อน’ ประเทศไทยไม่เหมือนประเทศใดบนโลก เมื่อรัฐใช้อำนาจแห่งความ (ไม่) รู้ข่มเหงชาวลีซู แต่เมินเฉยต่อตัวการที่ทำให้โลกร้อนอย่างแท้จริง

ว่าด้วยเรื่องของคดีโลกร้อน

ในปี 2558 ไกด์ภูเขาชาวเปรูชื่อ ซาอูล ลูเซียโน ลิวยา (Saúl Luciano Lliuya) ได้รับผลกระทบจากการละลายของธารน้ำแข็งที่เกิดจากภาวะโลกร้อน ลิวยาเชื่อว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัท RWE (บริษัทพลังงานข้ามชาติขนาดใหญ่ของเยอรมนี) มีส่วนทำให้ธารน้ำแข็งละลายและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ของเขา ลิวยาได้ยื่นฟ้อง RWE ที่ศาลในเมืองเอสเซน ประเทศเยอรมนี โดยเรียกร้องให้บริษัทรับผิดชอบค่าใช้จ่ายประมาณ 17,000 ยูโร

ปีเดียวกันที่ประเทศฟิลิปปินส์ เครือข่ายชุมชนของฟิลิปปินส์และองค์กร Greenpeace ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัทที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมาก โดยเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 ได้มีการเผยแพร่รายงานผลการสอบสวน ซึ่งระบุว่า 47 บริษัทพลังงานขนาดใหญ่ เช่น ExxonMobil, Shell, Chevron, BP, Total และ RWE มีส่วนรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เราได้เห็นความเคลื่อนไหวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ ที่ภาคประชาชนลุกขึ้นมาฟ้องร้องต่อบริษัทขนาดใหญ่ ที่การดำเนินงานของพวกเขานั้นก่อให้เกิด ‘ภาวะโลกร้อน’ กำลังสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับโลกของเรา

แต่ประเทศไทยเลือกใช้กระบวนการยุติธรรมที่แตกต่างกันออกไปจากประเทศตัวอย่างข้างต้น

ย้อนกลับไปเมื่อ 14 พ.ค. 2568  ศาลจังหวัดเชียงใหม่มีคำพิพากษาให้ชาวบ้านลีซู 3 รายในอำเภอเชียงดาว ชดใช้ค่าเสียหายสิ่งแวดล้อมแก่กรมอุทยานฯ จำนวน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ในคดี “โลกร้อน” ซึ่งใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเมินความเสียหายจากการบุกรุกป่าโดยคิดรวมค่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น

ท่ามกลางคำถามจากนักวิชาการด้านป่าไม้, นักกฎหมายสิทธิชุมชน, ตัวแทนภาคประชาสังคมและกลุ่มชาติพันธุ์ ถึงความเป็นธรรมและการประเมินมูลค่าสิ่งแวดล้อมโดยปราศจากความเข้าใจต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อระบบนิเวศน์อย่างแท้จริง

เกิดอะไรขึ้น? กับชาวบ้านลีซู 3 รายในอำเภอเชียงดาว

สุมิตรชัย  หัตถสาร  ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น (CPCR) ได้อธิบายความเป็นมาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ชาวบ้านลีซู 3 รายในอำเภอเชียงดาวตั้งแต่ปี 2557 ว่า ชาวลีซูกลุ่มดังกล่าว ได้เข้าไปทำกินในพื้นที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านของพวกเขาประมาณหนึ่งกิโลเมตร

ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินทำกินดั้งเดิมของพวกเขา แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีการพักฟื้นผืนดินเอาไว้ ตามแนวทางการอนุรักษ์ผืนดินให้อุดมสมบูรณ์ของพวกเขา แต่เมื่อชาวลีซูทั้งสามคนกลับเข้าไปทำกินในที่ดินทำกินดั้งเดิมของตัวเอง กลับถูกจับกุมในข้อหาบุกรุกทำลายพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนาจำนวน 6.26 ไร่

“พวกเขาถูกดำเนินคดีอาญา” สุมิตรชัยกล่าว “ตอนนั้นทั้งสามคนรับสารภาพ ศาลจึงตัดสินจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน รอลงอาญาและเสียค่าปรับ รวมทั้งถูกยึดที่ดินคืน”

สุมิตรชัย  หัตถสาร  ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น (CPCR) – บันทึกภาพจากไลฟ์งานเสวนา ‘สิทธิคนอยู่กับป่า ความเสียหายที่ไม่ถูกประเมินจากคดีโลกร้อน’ ของมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 นี้ เวลา 19.00-20.30 น.

แต่คดีความไม่จบลงเพียงเท่านั้น หลังจากผ่านมา 10 ปี เมื่อปี 2566 อัยการได้รับฟ้องคดีแพ่ง โดยมีการเรียกค่าเสียหาย 372,415 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 9 ก.ค. 2557 จนถึงวันฟ้อง รวมทั้งสิ้น 625,314 บาท

สุมิตรชัยอธิบายว่า การคิดค่าเสียหายนั้นกรมอุทยานฯ ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ชื่อ “แบบจำลองสำหรับประเมินค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมบางประการหลังการทำลายป่าไม้” โดยเทียบเคียงกับค่าเสียหายที่ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นมีอุณหภูมิสูงขึ้น แปรเป็นค่าเสียหายโดยเทียบเคียงกับการเอาแอร์ไปเปิดที่บริเวณนั้น และคำนวณค่าไฟออกมา

“มีคำถามจากหลายฝ่ายที่พบว่า โมเดลการคำนวณนี้ไม่สอดคล้องกับระบบนิเวศของป่า”

โดยได้มีกระบวนการตรวจสอบจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีการเชิญนักวิชาการจากหลายสาขา ตั้งแต่คณะวนศาสตร์และนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ทุกคนลงความเห็นว่าโมเดลนี้ไม่สอดคล้องกับค่าเสียหาย และคนที่คิดค้นแบบจำลองนี้ขึ้นมา มีเจตนาเพื่อนำมาใช้ประกอบการของบประมาณในการฟื้นฟูป่า ไม่ใช่เพื่อนำมาลงโทษชาวบ้านแบบนี้

‘อันตรายทางศีลธรรม’ เมื่อใช้ความ (ไม่) รู้ในนามของอำนาจชี้ผิดชี้ถูกผู้อื่น

“มันคือความอันตรายทางศีลธรรม ถ้าจะลุกขึ้นมาชี้หน้าใครสักคนว่าผิดและบอกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมีมูลค่าเท่าไหร่ คุณต้องมีความรู้ถ้าไม่รู้จริงอย่าทำ”

จตุพร  เทียรมา  จากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้ประเมินความเสียหายไม่เข้าใจคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติอย่างแท้จริง

ในสายตาของนักอนุรักษ์เช่นเขา หากรัฐอยากประเมินคุณค่าที่แท้จริงของทรัพยากรป่าไม้ จำเป็นต้องประเมินเรื่องอื่นๆ เข้าไปด้วย เช่น อิสรภาพของการเป็นมนุษย์ที่จะอยู่ในระบบนิเวศนั้น เป็นต้น เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการประเมินมูลค่าป่าไม้เพื่อนำไปฟ้องคนตัวเล็กตัวน้อยแบบนี้

จตุพร  เทียรมา  จากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหาสารคามบันทึกภาพจากไลฟ์งานเสวนา ‘สิทธิคนอยู่กับป่า ความเสียหายที่ไม่ถูกประเมินจากคดีโลกร้อน’ ของมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 นี้ เวลา 19.00-20.30 น.

“ทุกคนล้วนมีส่วนในการสร้างอุณหภูมิของโลกให้สูงขึ้น” จตุพรอธิบาย “ผ่านการสร้างความเข้มข้นของการสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ทำไมทุกคนไม่โดนคดี ไม่ถูกคำนวณว่ากิจกรรมในชีวิตไปทำให้คุณค่าของทรัพยากรลดลงไป แต่ทำไมมาเลือกใช้กับคนแค่จำนวนหนึ่งแบบนี้”

จตุพรมองว่าการโยนความผิดให้ชาวบ้านเป็นจำเลยเรื่องการทำให้โลกร้อนขึ้นนั้น ไม่ได้ตอบโจทย์เป้าหมายของรัฐที่ต้องการพยายามทำให้พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น กลับกันยังสร้างความรู้สึกทางลบให้กับชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ จตุพรกล่าวอีกว่า วิธีการแบบใครทำผิดคนนั้นต้องรับผิดชอบจะไม่มีวันได้ผล เพราะกำลังเจ้าหน้าที่ที่จะมาบังคับใช้ ไม่ได้สามารถควบคุมพื้นที่ป่าได้ทุกตารางเมตรตลอดเวลา

“การฟ้องแบบนี้ทำให้พื้นที่ต้นไม้เพิ่มขึ้นไหม” จตุพรตั้งคำถาม “ผมไม่เชื่อ มีแต่จะสร้างความรู้สึกทางลบ และวิธีการแบบนี้ไม่ได้ให้สังคมโดยรวมดีขึ้น”

ทางด้านสุรินทร์  อ้นพรม  นักวิชาการอิสระด้านป่าไม้ ได้ฉายภาพประวัติศาสตร์เส้นทางการอนุรักษ์ป่าตลอด 120 ปีที่ผ่านมาของประเทศไทย โดยพบว่านโยบายการป่าไม้ของไทย ไม่เคยมองเห็นคนที่อยู่ในเขตป่า

แต่ในช่วงแรกของการจัดการป่า กลับให้โอกาสกลุ่มทุนเข้าไปหาประโยชน์จากผืนป่าด้วยการให้สัมปทานไม้ จนกระทั่งมีการเปลี่ยนนโยบายปิดป่าในปี 2528 เริ่มมีการฟื้นฟูป่าโดยการเพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์ มีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ เขตห้ามล่าสัตว์ป่า และไล่คนออกจากป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ 40% ตามเป้าหมายของกรมฯ

“ในกรณีที่เกิดขึ้นกับพี่น้องลีซูเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ เป็นการเลือกปฏิบัติโดยใช้ความรู้ของตนเองมากดขี่ชาวบ้าน แต่ที่ผ่านมารัฐไม่เคยดำเนินการกับบริษัทสัมปทานต่างๆ ที่ไปบุกรุกพื้นที่ป่า”

สุรินทร์  อ้นพรม  นักวิชาการอิสระด้านป่าไม้บันทึกภาพจากไลฟ์งานเสวนา ‘สิทธิคนอยู่กับป่า ความเสียหายที่ไม่ถูกประเมินจากคดีโลกร้อน’ ของมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 นี้ เวลา 19.00-20.30 น.

สุรินทร์มองว่าเป้าหมายความต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวของรัฐ นอกจากไม่ได้เอื้อให้กลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่ป่าดั้งเดิมสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ต่อไปแล้ว  ยังไปเอื้อให้กลุ่มทุนสามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เหมือนเดิมผ่านการซื้อขายคาร์บอนเครดิต  อีกยังมีการนำความรู้ด้านการอนุรักษ์จากระบบการศึกษาที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยไม่เคยหันกลับมามองบริบทของระบบนิเวศน์ของประเทศตนเอง

“ปัญหาตอนนี้อยู่ที่รากเหง้าของความรู้ที่สอนกันอยู่ในคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นความรู้ที่สร้างความไม่เป็นธรรมให้เกิดขึ้น ในการเข้าถึงทรัพยากรของคนที่อยู่ในพื้นที่ดั้งเดิมกับป่า”  สุรินทร์กล่าวทิ้งท้าย

คดีโลกร้อนในประเทศไทยไม่เหมือนประเทศใดบนโลกใบนี้

“พอได้ยินข่าวนี้ผมรู้สึกทั้งงงและโกรธ มันยังมีเหตุการณ์แบบนี้ในยุคสมัยนี้ด้วยเหรอ?”

ธารา  บัวคำศรี  ในฐานะที่ปรึกษา Greenpeace Thailand องค์กรรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก เขาติดตามข่าวนี้ด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่ทั่วโลกประชาชนกำลังลุกขึ้นมาปกป้องทรัพยากรธรรมชาติจากกลุ่มทุนใหญ่ โดยเฉพาะบริษัทน้ำมันรายใหญ่ต่างๆ ที่ตกเป็นจำเลยในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ

แต่ประเทศไทยเรากลับไม่เคยปรากฏการฟ้องร้องกลุ่มทุนใหญ่ในฐานะคนที่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่เรากลับมีการที่เจ้าหน้าที่รัฐฟ้องประชาชนของตัวเองในฐานะที่ทำให้ ‘โลกร้อน’

“มันกลับหัวกลับหาง” ธาราแสดงความคิดเห็นต่อกรณีการคำนวณค่าเสียหายต่อชาวลีซู “เป็นเรื่องที่นอกจากไม่เป็นวิทยาศาสตร์แล้ว มันย้อนยุคกลับไปไกลมากในเรื่องการใช้วิธีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากชาวบ้านแบบนี้”

ธารา  บัวคำศรี  ในฐานะที่ปรึกษา Greenpeace Thailandบันทึกภาพจากไลฟ์งานเสวนา ‘สิทธิคนอยู่กับป่า ความเสียหายที่ไม่ถูกประเมินจากคดีโลกร้อน’ ของมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 นี้ เวลา 19.00-20.30 น.

ในมุมมองของธาราเขายกตัวอย่างว่า ถ้าภาครัฐต้องการผลักดัน เอาผิดกับคนที่ทำให้โลกร้อนนั้น รัฐควรไปตรวจสอบกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ของประเทศไทย ยกตัวอย่างเช่น  กลุ่มบริษัทบ้านปู (Banpu Group) เป็นกลุ่มธุรกิจพลังงานของไทย และกลุ่มบริษัทปตท. ซึ่งเป็นตัวการหลักในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับต้นๆ ของโลก โดยเกือบครึ่งหนึ่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมตั้งแต่ปี 2535 – 2565 ในประเทศไทยเป็นของกลุ่มบริษัทเหล่านี้

“คดีโลกร้อนในสากลที่เราเข้าใจกันคือเรื่องของการดำเนินคดีความ ผ่านกลไกทางกฎหมายในการที่จะเอาผิดกับผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นตัวการสำคัญ มันไม่ควรจะมีคดีที่มารังแกชาวบ้านแบบนี้” ธารากล่าว

โดยในตอนท้ายนั้น วิไลลักษณ์  เยอเบาะ รองผู้อำนวยการสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย ในฐานะตัวแทนประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่กับป่าตามวิถีชีวิตดั้งเดิมของพวกเขา มองเรื่องนี้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นบรรทัดฐานที่น่ากังวลใจ เพราะกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองหลายกลุ่มล้วนอาศัยอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ที่รัฐกำหนดขึ้นมาภายหลังทั้งสิ้น การมาถูกคดีเช่นนี้ในที่ดินดั้งเดิมของตนเองจึงเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรมสำหรับพวกเขา

“วิถีชีวิตของพวกเราแนบแน่นกับการพึ่งพิงสิ่งแวดล้อม”

วิไลลักษณ์  เยอเบาะ รองผู้อำนวยการสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย ภาพ: IMN-เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง จากกิจกรรมงานวันชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ปี 2564

วิไลลักษณ์สรุปว่า ต้นตอของปัญหาทั้งหมดนั้นเกิดมาจากการมองว่ากลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองเป็นคนอื่น และเป็นกลุ่มคนที่รัฐพยายามเอาออกมาจากป่าทุกวิถีทาง ผ่านการออกกฎหมายต่างๆ ที่ไม่เคยสอดคล้องกับวิถีชีวิต และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของพวกเขา ที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาอย่างยาวนาน หรืออย่างน้อยๆ ก็ยาวนานกว่านโยบายการกำหนดพื้นที่อนุรักษ์ของรัฐ ที่เข้ามาช่วงชิงความชอบธรรม และใช้อำนาจในการจัดการผู้คนในนามของกฎหมาย ที่ขาดความเข้าใจต่อบริบทของระบบนิเวศน์ที่มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่

เนื้อหาในบทความชิ้นนี้สรุปมาจากงานเสวนา ‘สิทธิคนอยู่กับป่า ความเสียหายที่ไม่ถูกประเมินจากคดีโลกร้อน’ ของมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 นี้ เวลา 19.00-20.30 น.