“มละบริ” วิถีชีวิตคนป่า ที่ถูกทำให้กลายเป็นวิญญาณผ่านวาทกรรม “ผีตองเหลือง”

“อาลิแล” แปลว่า มาแล้วหรอ เป็นคำทักทายของคนกลุ่มหนึ่งที่ใช้ชีวิตอาศัยอยู่ในป่า

พวกเขาเรียกตัวเองว่า “มละบริ

อาลิแล มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า สวัสดี Hello และหนีห่าว แต่เมื่ออยู่ในป่า มันจึงเป็นคำที่ถูกใช้ในโอกาสที่ต่างออกไป

ในอดีต คนในครอบครัวมละบริ จะพูดคำว่า “อาลิแล” เมื่อหัวหน้าครอบครัวกลับมาถึงบ้าน หลังออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัวของเขาด้วยอาชีพ ล่าสัตว์และหาของป่า

ลุงแก้ว ผู้เฒ่าอาวุโสชาวมละบริจากหย่อมบ้านห้วยหยวก จ.น่าน (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ภาพ: IMN-เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง ถ่ายโดย: อาฟู่ บะเชอะ

มละบริคือใคร ทำไมยังล่าสัตว์หาของป่า ทำไมมีคำทักทายเป็นภาษาของพวกเขาเอง

แม้ว่า “มละบริ” จะเป็นชาติพันธุ์หนึ่งที่อยู่อาศัยในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน และเป็นชนเผ่าที่คนไทยต่างก็รู้จักเป็นอย่างดี แต่กลับมีคนจำนวนไม่มากที่จะรู้จักพวกเขาด้วยชื่อที่พวกเขาเรียกตัวของเขาเอง

“ผีตองเหลือง” เป็นชื่อเรียกในภาษาไทย ถูกเรียกโดยการตั้งชื่อให้จากคนอื่น ที่เรียกมละบริโดยตั้งชื่อมาจากการสังเกตเอาเองว่า พวกเขามักจะใช้ใบตองมาสร้างเป็นบ้านเพื่ออาศัยอยู่ชั่วคราว และเมื่อใบตองเปลี่ยนจากใบตองสดสีเขียวเป็นสีเหลือง ก็จะย้ายถิ่นฐานไปสร้างบ้านใหม่

ด้วยพฤติกรรมการย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆในป่าลึก ผู้ที่พบเห็นมละบริ จึงเรียกพวกเขาว่า “ผี” แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาเป็น “คน” ที่มีชีวิตอยู่ด้วยวิถีชีวิตที่เป็นอัตลักษณ์ของตัวเอง

ในภาษาของพวกเขา มละบริ แปลว่า คนป่า

“คนป่า” ย่อมหมายถึง คนที่มีเลือดเนื้อและยังมีลมหายใจ จึงแน่นอนว่า พวกเขาไม่เห็นด้วยกับการถูกเรียกว่า “ผีตองเหลือง” เพราะนั่นเป็นชื่อที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ของพวกเขาลงไป แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้โต้แย้ง 

มีบันทึกที่เป็นหลักฐานสำคัญ ที่บ่งบอกว่าชาติพันธุ์ “มละบริ” ทำการค้าขายกับเพื่อนบ้านไม่ต่างจากคนทั่วไป นั่นคือ การนำของป่าที่หามาได้ในแต่ละวันที่นอกจากจะใช้เป็นอาหารแล้ว ยังถูกใช้เป็นเหมือน “เงิน” ที่นำไปแลกเปลี่ยนกับของใช้อื่นๆที่จำเป็นกับการดำรงชีวิต อย่าง เสื้อผ้า หรือแม้แต่เกลือ ซึ่งหาไม่ได้จากในป่า โดยคู่ค้าคนสำคัญของพวกเขาก็คือ ชาวลาว รวมไปถึงกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่อยู่ในป่าเช่นกัน

ฉลองชัย ดอยศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านห้วยหยวก กำลังถัก สานใบใม้ เพื่อนำมาทำหลังคาที่พักชั่วคราวให้กับเยาวชนในค่ายเยาวชนมละบริเรียนรู้วิถีชีวิตบรรพชน ปี 2019 ภาพ: IMN-เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง ถ่ายโดย: อาฟู่ บะเชอะ

ชาติพันธุ์มละบริในอดีต ใช้ชีวิตอาศัยอยู่ในป่าในแถบภาคเหนือของประเทศไทย บริเวณ จ.แพร่ และ จ.น่าน เป็นกลุ่มคนที่รักอิสระ ไม่ยึดติดในวัตถุสิ่งของ ไม่กักตุนอาหาร แบ่งปันทรัพยาการอย่างเหมาะสมและเท่าเทียม ใช้ชีวิตอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ มีภูมิปัญญาในการนำพืชในป่ามาปรุงเป็นอาหาร มีความสามารถทำยาสมุนไพร เครื่องจักสาน อาหารหลักของพวกเขา คือ หัวมันหัวเผือก และสัตว์ป่าตามที่หาได้

จำลองที่พักอาศัยชั่วคราว ของชนเผ่ามละบริ ในงานวันรวมญาติมละบริ 14 กุมภาพันธ์ 2019 ภาพ: IMN-เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง

ข้อมูลจากศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ระบุว่า มละบริในอดีต เป็นชนเผ่าที่มีรูปแบบการอพยพเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างประเทศไทยและแขวงไซยะบุรี และแขวงบอลิคำไซในประเทศลาว ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนจะมีการแบ่งเส้นพรมแดนเป็นรัฐชาติ และวิถีชีวิตของมละบริ ก็ถูกตัดสินว่า “แปลก” หลังจากมีเส้นแบ่งรัฐชาติ และรัฐไทยก็ต้องการย้ายคนที่อาศัยอยู่ในป่าออกมาตั้งถิ่นฐานเป็นหลักเป็นแหล่ง

“คนทั่วไปจะไม่รู้จักชาติพันธุ์ที่มีชื่อว่า มละบริ แต่ถ้าพูดถึง ผีตองเหลือง เขาก็จะร้องอ๋อ เพราะในหน้าสื่อต่างๆที่เคยเผยแพร่กันมาต่างก็เรียกพวดราว่าเป็นชุมชนตองเหลือง หรือยิ่งเรียกว่า ผีตองเหลือง เขาก็จะรู้จักกันมากกว่า”  

อรัญวา ชาวพนาไพร หนึ่งในชาวมละบริที่ปัจจุบันอยู่ใน หมู่บ้านนากอก หมู่ 1 ตำบลภูฟ้า อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ประเทศไทย ภาพ: IMN-เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง ถ่ายโดย: อาฟู่ บะเชอะ

อรัญวา ชาวพนาไพร เป็นหนึ่งในชาวมละบริที่ในปัจจุบันมีอยู่ในประเทศไทยประมาณ 500 คน อาศัยอยู่ใน 5 หมู่บ้านของ จ.น่าน เธอได้รับโอกาสทางการศึกษาจนสามารถไปทำงานอยู่ที่ศูนย์ภูฟ้าพัฒนาใน จ.น่าน

อรัญวา เกิดในปี พ.ศ.2529 เธอจึงเป็นมละบริรุ่นที่ยังผ่านวัยเด็กด้วยการเติบโตในวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาติพันธุ์มละบริในช่วงที่ยังอาศัยอยู่ในป่าที่ อ.ร้องกวาง จ.แพร่

หากย้อนเวลากลับไปหาเด็กหญิงชาวมละบริที่มีชื่อว่า อรัญวา เธอเติบโตมาในป่าลึกที่มีคนร่วมชาติพันธุ์ประมาณ 4-5 ครอบครัวอยู่ร่วมกันเสมอ … อรัญวา และเพื่อนๆจะโยกย้ายเปลี่ยนที่อยู่อาศัยไปเรื่อยๆตามแหล่งอาหาร หรือบางทีพวกเขาก็ย้ายถิ่นฐานเพื่อตามหาญาติที่เร่ร่อนอยู่ในป่าลึกเช่นกัน สำหรับชาวมละบริ การตามหาร่องรอยของมละบริด้วยกันไม่ใช่เรื่องยาก พวกเขามีความสามารถในการแกะรอยได้จากทั้งกองไฟ ที่พัก และอาหารที่ถูกทิ้งไว้

เด็กหญิงอรัญวา ยังส่งข้อความสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อที่ถูกสื่อสารมาตลอดหลายสิบปีด้วยว่า แท้จริงแล้ว การโยกย้ายที่อยู่บ่อยๆของชาวมละบริ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับการเปลี่ยนเป็นสีเหลืองของใบตอง แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขามีเหตุผลอื่นในการย้ายถิ่นที่อยู่ เช่น ย้านไปตามแหล่งอาหาร ย้ายเพราะมีคนในกลุ่มเสียชีวิต และอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญที่สุด คือ ย้ายที่อยู่เมื่อถูกผู้อื่นพบเห็น เพราะกังวลว่าจะมีอันตรายตามมา

เรายังจำภาพเดิมๆ ได้ สมัยนั้นพ่อซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวก็จะเข้าไปหาของป่าและล่าสัตว์ และถ้าไม่มีผู้ใหญ่อยู่เลย เด็กๆอย่างเราก็จะอยู่ที่เพิง(บ้าน)ไม่ได้ เราต้องไปหาที่ซ่อนที่ปลอดภัยจนกว่าพ่อแม่จะกลับมา เพราะเมื่อเราอยู่ในป่า เราต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังตลอดเวลา แม้แต่จะส่งเสียงดังก็ไม่ได้ เมื่อพ่อแม่เราตัดสินใจโยกย้ายที่อยู่ตอนอยู่ในป่า ก็มักจะเป็นเพราะเรารู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัย”  

เมื่อเป็นเช่นนั้น อรัญวา บอกว่า แม้ที่ผ่านมาคนอื่นจะเรียกชาวมละบริว่า ผีตองเหลือง มายาวนานหลายสิบปี แต่ในทางกลับกัน คนในชาติพันธุ์มละบริเอง กลับไม่เคยรู้เลยว่า ผีตองเหลือง มีความหมายว่าอะไร

เคยไปถามผู้อาวุโสในชุมชนว่า รู้จักคำว่า ตองเหลือง มั้ย โดยส่วนมากก็ไม่รู้จัก เพราะผู้อาวุโสส่วนใหญ่ไม่เข้าใจภาษาไทย แม้แต่คนรุ่นพ่อแม่ของเราก็ยังรู้ภาษาไทยไม่มากนัก เมื่อคนอื่นเรียกว่าตองเหลือง เขาก็ยอมรับกันว่าเป็นตองเหลือง”

ลุงปา ผู้เฒ่าอาวุโสชาวมละบริจากหย่อมบ้านห้วยหยวก จ.น่าน (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ภาพ: IMN-เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง ถ่ายโดย: อาฟู่ บะเชอะ

“แต่ที่แย่กว่านั้น ก็คือ คนอื่นมาเรียกพวกเราว่า ผี ในช่วงแรกที่มีคนมาบอกว่าพวกเราถูกเรียกว่าผีตองเหลือง คนรุ่นก่อนๆเก็พยักหน้าตอบรับ เพราะไม่รู้ว่า ผี ในภาษาไทยแปลว่าอะไร จนคนรุ่นใหม่อย่างเราไปอธิบายให้ผู้เฒ่าฟังว่า ผี ก็คือ วิญญาณ ผู้เฒ่าก็มีคำถามขึ้นมาทันทีว่า พวกเรายังไม่ตาย ทำไมคนอื่นมาเรียกเราว่า ผี”

“คนทั่วไปจะได้ค่าจ้างวันละ 300 บาท แต่ถ้าคนจ้างเขารู้ว่าเราเป็นมละบริ หรือที่เขาเรียกว่าผีตองเหลือง เราก็จะถูกกดค่าจ้างลงไปเหลือวันละ 150 บาท เขาอ้างว่า พวกเราทำอะไรไม่ค่อยถูก เข้าใจอะไรก็ยาก”

คนชาติพันธุ์มละบริประมาณ 500 คน ยังอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่พวกเขาจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวถีชีวิตของตัวเอง จากคนที่เร่รอนหาเก็บของป่าและล่าสัตว์ มาตั้งเป็นถิ่นที่อยู่ถาวร ใช้ชีวิตร่วมกันเป็นชุมชนเฉกเช่นเดียวกับชาติพันธุ์อื่นๆ ชาวมละบริได้เข้าไปตั้งชุมชนในเขตพระราชฐาน แต่สำหรับอรัญวา เธอมีเป้าหมายที่สูงกว่านั้น

การให้ค่าแรงกับชาวมละบริในอัตราที่น้อยกว่าแรงงานทั่วไป ทำให้อรัญวา มองเห็นถึงกำแพงของคำว่า “อคติ” อย่างชัดเจน เธอจึงไม่ปฏิเสธว่า ชาวมละบริเองก็ต้องยอมรับต่อความเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ชาวมละบริจำเป็นต้องออกจากป่ามาเริ่มชีวิตใหม่ในชุมชน ต้องเรียนรู้ภาษาไทย ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้รับการยอมรับในฐานะคนไทย ต้องเรียนรู้วิธีการทำการเกษตรเพื่อดำรงชีพ เพราะเป้าหมายที่สำคัญคือ ต้องทำให้คนอื่นยอมรับว่า พวกเขาเป็น “คน” ที่มีความสามารถ ไม่ใช่ “ผีเร่ร่อน” อย่างที่ถูกเรียกมาตลอด

“มีแต่ชาวมละบริเท่านั้น ที่มีองค์ความรู้ว่ามี มันป่า ที่กินได้มีอยู่ 11 ชนิด มี 1 ชนิดที่กินไปแล้วจะต้องตาย เพราะมันป่าคืออาหารมื้อหลักของคนมละบริ นี่เป็นตัวอย่างของหนึ่งในความชำนาญชั้นสูงเกี่ยวกับป่าที่ถูกส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นในกลุ่มชาวมละบริ และเป็นความสามารถที่ยากจะอาจเปลี่ยนเป็นคุณค่า ที่จะช่วยลบภาพอคติเดิมที่มีต่อชาวมละบริไปได้”  

เยาวชนมละบริกำลังรถน้ำแปลงเกษตร ภาพ: IMN-เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง ถ่ายโดย: อาฟู่ บะเชอะ

แต่ในแง่ของการทำเกษตร อรัญวา ยอมรับว่า ชาวมละบริดั้งเดิมที่ดำรงชีวิตด้วยการหาของป่า แทบจะไม่มีภาพความทรงจำใดๆเกี่ยวกับเกษตรกรรมมาก่อนเลย แต่เมื่อมาอยู่ในชุมชน ก็ต้องหารายได้ด้วยการรับจ้างทำเกษตร หรือแม้แต่การทำอาชีพอื่นๆ

“เมื่อเราย้ายมาลงหลักปักฐานในชุมชน เราก็เริ่มปรับตัว เริ่มเรียนรู้ ทั้งในเรื่องที่อยู่อาศัยที่ต้องคำนึงถึงสุขอนามัย เรื่องการทำเกษตรกรรม ไปจนถึงการให้ความสนใจกับการศึกษาและมีบางคนต้องมากลายเป็นมนุษย์เงินเดือน ซึ่งแน่นอนว่าพวกเราต้องปรับตัวค่อยข้างเยอะ แต่มันจะเป็นผลดีกับอนาคตของชาติพันธุ์มละบริอย่างแน่นอน ก่อนที่เราจะไปสูญหายไป”

“ที่สำคัญมากคือ การเรียนภาษาไทย เพราะเมื่อพวกเราเข้าใจภาษาไทย เราก็จะสามารถสื่อสารความเป็นตัวตนของพวกเรา โดยสื่อสารออกไปจากเสียงของพวกเราเองได้ เพราะเราเป็นกลุ่มคนที่เข้าใจความเป็นมละบริได้ดีกว่าคนอื่น เราก็จะไม่ต้องถูกเรียกว่า “ผี” จากความเข้าใจผิดของคนอื่นอีก” 

อรัญวา ชาวพนาไพร กับ นันธิดา ศรีร้องกวาง ภาพ: PRSTOU

ในฐานะชาวมละบริที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในป่าลึก แต่มาได้รับการศึกษาจนกลายเป็นคนที่มีบทบาทในการสื่อสารความเป็นมละบริให้คนอื่นๆ ได้เข้าใจ อรัญวา มีเป้าหมายอยู่ 2 เรื่อง ข้อแรก แม้ไม่ได้อยู่ในป่าแล้ว แต่เธอก็ต้องการให้มีกระบวนการเพื่อรักษาองค์ความรู้เรื่องการแยกประเภทขอมันป่า และรักษาภาษาดั้งเดิมของชาวมละบริเอาไว้เป็นมรดกที่สืบทอดต่อไปยังคนรุ่นหลัง ส่วนข้อที่สอง เธอมีความฝันที่จะจัดหาที่ดินที่จะเป็น “บ้านใหม่ถาวร” ให้เป็นที่ตั้งของชุมชนมละบริอย่างแท้จริง

“เรามีความฝันที่จะเห็นลูกหลานชาวมละบริ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความมั่นคงเรื่องที่อยู่อาศัย มีบ้านเลขที่เป็นของตัวเอง”

“เรากำลังมองหาและพยายามระดมทุนเพื่อซื้อที่ดินจากชุมชนที่ไม่ถูกใช้ประโยชน์แล้วมาสร้างชุมชนใหม่ ตั้งหมู่บ้านมละบริอย่างจริงจังเหมือนที่ชาติพันธุ์อื่นๆเขาก็มี เราจะเรียนรู้การทำเกษตร เราจะเรียนหนังสือ คนเผ่ามละบริในอนาคตจะต้องมีถิ่นฐานและอาชีพเป็นของตัวเอง”

“ตอนอยู่ในป่า เราก็ถูกมองเป็นคนเร่ร่อนหาของป่าจนถูกเรียกว่า ผี … เมื่อเราออกจากป่ามาตั้งถิ่นฐาน เราก็จะต้องไม่กลับไปเป็นคนเร่ร่อนทำงานรับจ้าง ให้คนอื่นมาเรียกเราว่า ผี อีกต่อไป” อรัญวา ชาวพนาไพร กล่าวทิ้งท้าย

ชุมชุนใหม่ของชาวมละบริ บ้านนากอก หมู่ 1 ตำบลภูฟ้า อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน

เรื่อง: อรัญวา ชาวพนาไพร / เขียนและเรียบเรียง: อัญชัญ อันชัยศรี

หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนจากศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)