เพราะแผ่นดินคือชีวิต ชนเผ่าพื้นเมืองในวันที่อยู่อาศัยโลก

วันนี้ (6 ตุลาคม 2568) ทางขบวนคนจนเพื่อสิทธิในที่ดินและที่อยู่อาศัย จัดกิจกรรมในโอกาส “วันอยู่อาศัยโลก” ซึ่งองค์การสหประชาชาติกำหนดให้ตรงกับวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี

ทางตัวแทนจากหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ได้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าปัญหาเรื่องความมั่นคงในที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน คือปัญหาที่หลายชนเผ่าต้องเผชิญไม่ต่างกัน

เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมืองได้รวบรวมเสียงชนเผ่าพื้นเมืองในวันที่อยู่อาศัยโลก ที่พวกเขายังคงต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงและความหวังจากการเข้าร่วมกับเครือข่ายอื่นๆ จากทั่วประเทศ

“เราจะอยู่กับป่าได้อย่างไร ถ้าไม่ได้กลับบ้าน” — เสียงจากชาวกะเหรี่ยงบางกลอยในวันอยู่อาศัยโลก

พงศักดิ์ ต้นน้ำเพชร ชาวกะเหรี่ยงจากบ้านบางกลอย จังหวัดเพชรบุรี

กลางลานกว้างหน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร พงศักดิ์ ต้นน้ำเพชร ชาวกะเหรี่ยงจากบ้านบางกลอย จังหวัดเพชรบุรี เดินทางมาร่วมกิจกรรม “วันอยู่อาศัยโลก” เพื่อส่งเสียงแทนชุมชนในวันที่ยังไร้ที่ดินและความมั่นคงในชีวิต

“ตอนนี้ชาวบางกลอยยังอยู่ในที่ดินของกรมอุทยานฯ เราถูกบังคับให้อพยพลงมาที่รัฐจัดไว้ให้ แต่ที่ตรงนั้นไม่มีที่ทำกิน” พงศักดิ์เล่า “คนถ้าไม่มีที่ทำกิน แล้วจะอยู่ได้อย่างไร”

กว่า 10 ปีแล้วที่ชาวบ้านบางกลอยต้องเผชิญกับชะตากรรมการย้ายถิ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากรัฐประกาศพื้นที่ป่าต้นน้ำเพชรบุรีให้เป็นอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ชาวบางกลอยถูกย้ายลงมาที่ “บางกลอยล่าง” ภายใต้คำสัญญาว่าจะมีที่ดินเพียงพอสำหรับทำกิน แต่เวลาผ่านไปสัญญานั้นกลับไม่เป็นจริง

“ไม่มีที่ดิน ก็ไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้ คุณภาพชีวิตก็แย่ลงหมด” เขากล่าว “เราพยายามเรียกร้องให้สามารถกลับไปอยู่ที่ ‘บางกลอยบน’ ซึ่งเป็นพื้นที่ดั้งเดิมของเรา อยากให้รัฐยอมรับรูปแบบการบริหารจัดการในลักษณะ ‘พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์’ ที่คนอยู่กับป่าได้อย่างสมดุล”

พงศักดิ์อธิบายว่า การอยู่ร่วมกับป่าของชาวกะเหรี่ยงไม่ใช่เรื่องใหม่ หากเป็นวิถีชีวิตที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน ภูมิปัญญาการทำไร่หมุนเวียน และหลักการจัดการทรัพยากรของบรรพบุรุษ คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาอยู่กับผืนป่าได้อย่างยั่งยืน 

“เรามีหลักในการอยู่กับป่า และมันพิสูจน์มาแล้วว่าทำได้จริง เราอยู่มาก่อนนโยบายของรัฐ”

ในปี 2564 ชาวบางกลอยบางส่วนพยายามกลับขึ้นไปยังพื้นที่ “ใจแผ่นดิน” อันเป็นถิ่นเดิมของบรรพบุรุษ แต่กลับถูกดำเนินคดี จนนำไปสู่การเคลื่อนไหวของ “ภาคีเซฟบางกลอย” ซึ่งผลักดันให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง

“คณะกรรมการอิสระเสนอไว้ว่า คนที่อยากกลับไปอยู่บางกลอยบน ควรได้ทดลองกลับไป ส่วนคนที่อยากอยู่ข้างล่าง ก็ควรมีที่ดินทำกินให้เพียงพอ” พงศักดิ์กล่าว “แต่เมื่อรัฐบาลเปลี่ยน กลไกพวกนี้ก็หมดสภาพ เราต้องเริ่มเรียกร้องใหม่ทุกครั้ง เหมือนวนอยู่ที่เดิม”

เขาบอกว่าการมาร่วมงานวันอยู่อาศัยโลกในปีนี้ ไม่ได้มาเพียงเพื่อพูดแทนบางกลอยเท่านั้น แต่เพื่อสะท้อนว่าทั้งประเทศยังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ประสบปัญหาเดียวกัน — คนที่ไร้ที่ดิน ไร้บ้าน และไร้สิทธิในการดำรงชีวิตอย่างมั่นคง

“ทุกคนบนโลกต้องมีที่อยู่ ที่กิน” เขาย้ำ “แต่ในประเทศไทย ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อีกมากที่สิทธิดั้งเดิมของพวกเขาถูกพรากไป จนไม่มีปากไม่มีเสียง”

สำหรับพงศักดิ์และชาวบางกลอย การกลับไปอยู่กับผืนป่าคือการกลับไปหาตัวตนของตนเอง — ไม่ใช่เพราะป่าเป็นทรัพย์สิน แต่เพราะป่าเป็นรากเหง้าที่หล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเขามาเนิ่นนาน

“บางกลอยคือภาพสะท้อนของความสัมพันธ์ระหว่างคนกับรัฐ ว่าประเทศนี้จะจัดการกับสิทธิในที่ดินและที่อยู่อาศัยของประชาชนอย่างไร” เขาทิ้งท้าย 

“เรามีแผ่นดิน แต่ไม่มีสิทธิในแผ่นดิน” — เสียงจากชาวเลมอแกลน บ้านทับตะวัน

บ้านทับตะวัน จังหวัดพังงา คือหนึ่งในชุมชนที่ได้รับการประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล เป็นลำดับที่ 14 แต่อย่างไรก็ดี พื้นที่ที่เคยเป็นบ้านเกิดและแหล่งทำกินของชาวมอแกลน ยังคงถูกล้อมรอบด้วยเส้นแบ่งพื้นที่รัฐและเอกชน

อรวรรณ หาญทะเล ตัวแทนชาวมอแกลนจากบ้านทับตะวัน จ..พังงา

อรวรรณ หาญทะเล ตัวแทนชาวมอแกลนจากบ้านทับตะวัน เล่าให้ฟังใน “วันอยู่อาศัยโลก” ปี 2568 ว่า ชีวิตของชาวเลในภาคใต้ทุกวันนี้ตกอยู่ในความลำบาก

“พื้นที่อยู่อาศัยของเรา พื้นที่จิตวิญญาณ พื้นที่สาธารณะอย่างชายหาด ทะเล ป่าชายเลน ป่าหากิน — ทุกอย่างถูกประกาศทับโดยอุทยานฯ และเอกชนเข้ามาอ้างสิทธิ์หมด”

โดยที่มาเกิดจากหลังเหตุการณ์สึนามิปี 2547 ที่ทำลายชายฝั่งอันดามัน บริษัทเอกชนเริ่มเข้ามาจับจองพื้นที่ริมทะเล ชุมชนมอแกลนต้องต่อสู้เพื่อรักษาที่ดินของตนเองอยู่นานหลายปี กระทั่งปี 2555 ศาลมีคำไกล่เกลี่ยให้ชาวบ้านได้ที่ดินเพียง 14 ไร่ ส่วนอีก 5 ไร่ตกเป็นของเอกชน ขณะที่พื้นที่อื่น ๆ ถูกนำไปพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว

วันนี้ อรวรรณบอกว่าพื้นที่ของชาวเลทั่วภาคใต้กำลังหดหายอย่างรวดเร็ว โดยร้อยละ 5 เป็นพื้นที่พิพาทกับเอกชน ร้อยละ 90 เป็นพื้นที่ของรัฐ ส่วนพื้นที่ที่เหลืออีก 5% คือพื้นที่อยู่อาศัยของชาวเลจริง ๆ

“หลายชุมชนถูกดำเนินคดี ทั้งที่เราไม่ได้ต้องการเอกสารสิทธิ เราแค่ต้องการหลักประกันว่าเรากับลูกหลานจะยังอยู่ในที่ดินดั้งเดิมได้ โดยไม่มีใครมาไล่”

เธอเล่าว่าบรรพบุรุษของชาวเลไม่เคยถือครองเอกสารสิทธิ เพราะสังคมของพวกเขาเชื่อในหลักการแบ่งปัน — ใครไม่มีที่อยู่ก็ให้ร่วมอาศัยได้ นั่นคือรากของความเป็นชุมชน แต่เมื่อรัฐเริ่มออกเอกสารสิทธิ์ที่ดิน ปัญหาก็เกิดขึ้น

“บรรพบุรุษเราไม่ยึดติดกับที่ดิน แต่เมื่อมีคนอื่นมาออกเอกสารสิทธิ์แทนเรา เรากลับกลายเป็นคนไม่มีสิทธิ์ในแผ่นดินของตัวเอง”

การมาร่วมรณรงค์ใน “วันอยู่อาศัยโลก” ปีนี้ อรวรรณบอกว่า ไม่ได้มาเพื่อต่อสู้เพียงเรื่องของชาวเลเท่านั้น แต่เพื่อสะท้อนความจริงว่าที่อยู่อาศัยคือปัจจัยพื้นฐานของชีวิต

“คนทุกคนเกิดมาต้องมีบ้าน ถ้าไม่มีที่อยู่อาศัยความยากจนก็จะตามมา แต่ถ้ามีที่ดิน เราก็พึ่งพาตัวเองได้ ไม่ต้องมาร้องขออะไรจากรัฐ”

อรวรรณกล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ชาวเลต้องการไม่ใช่การเป็นเจ้าของที่ดิน แต่พวกเขาอยากดูแลพื้นที่ร่วมกับรัฐอย่างยั่งยืน เพราะที่ผ่านมารัฐกับประชาชนไม่เคยได้โอกาสพูดคุยกันอย่างเข้าใจ ต่างคนต่างมองโลกจากฝั่งตนเอง 

“ความไม่เท่าเทียมทางที่ดินคือรากของความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย” อรวรรณกล่าว “ตราบใดที่คนชายขอบยังไม่มีสิทธิในผืนดินของตัวเอง ความยากจนจะยังคงมีอยู่ต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด”

ความมั่นคงของคนกับป่า-เสียงจากสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.)

“เราคือผู้บุกเบิกผืนดิน แต่รัฐกลับมองว่าเราเป็นผู้บุกรุก” 

เสียงจากจรัสศรี จันทร์อ้าย กรรมการบริหารสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) กล่าวกับเครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมืองว่า ในฐานะผู้หญิงที่อยู่แนวหน้าในการต่อสู้เรื่องสิทธิในที่ดินทำกินของกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคเหนือ ซึ่งมักถูกประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทับซ้อนกับที่อยู่อาศัย แม้ว่าจะมีนโยบายจัดการที่ดินของรัฐเข้ามาพยายามเป็นกลไกแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะนโยบาย “ที่ดินแห่งชาติ”  แต่กลับกลายเป็นว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ได้ 

จรัสศรี จันทร์อ้าย กรรมการบริหารสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.)

“กะเหรี่ยงทำไร่หมุนเวียนมาแต่บรรพบุรุษ” จรัสศรียกตัวอย่าง “แต่รัฐกลับเลือกใช้ภาพถ่ายดาวเทียมมากำหนดสิทธิที่ดินของเรา ซึ่งไม่สอดคล้องกับความจริง”

จรัสศรีอธิบายว่า ตามหลักมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 การพิสูจน์สิทธิ์ต้องอ้างอิงจากภาพถ่ายในปีที่กำหนดไว้เท่านั้น แต่ระบบไร่หมุนเวียนของกะเหรี่ยงไม่ได้ทำการเกษตรในพื้นที่เดิมทุกปี เมื่อเวลาผ่านไป ป่ากลับมาเขียวอีกครั้ง ทำให้รัฐมองว่าพื้นที่นั้นไม่มีการใช้ประโยชน์ และกลายเป็นเหตุผลในการถูกตัดสิทธิ์การใช้ที่ดิน

“เมื่อที่อยู่อาศัยไม่มั่นคง คนก็ไม่มีความมั่นคงในชีวิต” เธอกล่าว

โดยที่มาของปัญหาที่ดินทำกินของกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่ ล้วนมาจากนโยบายปิดสัมปทานไม้และประกาศเขตป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ หลายชุมชนชาติพันธุ์กลับถูกมองว่าเป็นผู้บุกรุก ทั้งที่พวกเขาเป็นคนที่ดูแลผืนป่ามาตลอด

“ป่าที่เหลืออยู่มันอยู่ได้เพราะพวกเราดูแล รัฐควรมาสนับสนุนให้เราดูแลป่า ไม่ใช่มาขับไล่เราออกไป”

จรัสศรียืนยันว่า หากวันหนึ่งกลุ่มชาติพันธุ์มีความมั่นคงในที่ดิน พวกเขาจะสามารถช่วยรัฐอนุรักษ์ทรัพยากรได้ดียิ่งขึ้น 

“ถ้าชีวิตคนมีความมั่นคง ป่าก็มั่นคง”

เธอเสนอให้รัฐปรับแนวคิดใหม่เปลี่ยนจากการ “ควบคุม” มาเป็นการ “สนับสนุน” เปิดโอกาสให้ชุมชนจัดการทรัพยากรของตนเอง ทั้งดิน น้ำ และป่า ภายใต้กติกาที่ตกลงร่วมกัน

“ที่ดินคือชีวิตไม่ใช่สินค้าที่สามารถตีมูลค่าได้ เพราะมันคือรากฐานการดำรงอยู่ของเรา” 

สุดท้ายแล้วบนโลกที่ที่ดินกลายเป็นทรัพย์สินสำหรับระบบทุนนิยม แต่กลับเป็น “ความอยู่รอด” สำหรับกลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง ดังนั้นแล้วสำหรับจรัสศรี ความมั่นคงในที่ดินคือจุดเริ่มต้นของความมั่นคงในชีวิต — และความยั่งยืนของผืนป่าที่พวกเขาเรียกว่าบ้าน

“ถ้าไม่สู้วันนี้ เราก็ไม่มีที่อยู่อาศัยทำกิน”— เสียงจากชาวไทดำ สุราษฎร์ธานี

ใน อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ธานี กลุ่มชาติพันธุ์ไทดำอยู่อาศัยและประกอบอาชีพเกษตรกรรมเช่น ทำสวนปาล์มน้ำมัน, ปลูกพริก, เลี้ยงปลา อยู่บนผืนดินที่ไม่มีกรรมสิทธิอีกทั้งยังมีการทับซ้อนของที่หลวง เป็นที่มาให้จันทรัตน์ รู้พันธ์ ผู้ประสานงานชุมชนไทดำ มาร่วมงานวันที่อยู่อาศัยโลกในครั้งนี้

จันทรัตน์ รู้พันธ์ ผู้ประสานงานชุมชนไทดำ

จันทรัตน์ กล่าวว่าปัญหาที่ดินทำกินของชาวไทดำเริ่มต้นจากหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.) ที่ออกผิดที่ผิดตำแหน่ง ครอบคลุมพื้นที่ที่ชาวบ้านอยู่อาศัยและทำกินมานาน ทั้งที่การสอบสวนข้อเท็จจริงได้ยุติแล้วและยืนยันความผิดพลาด แต่จนถึงวันนี้ผ่านไปกว่า 5 ปีแล้ว  ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานียังไม่พิจารณาเพิกถอนที่ดินดังกล่าวที่ออกผิดตำแหน่ง

“มันคือความไม่มั่นคงในการใช้ชีวิต เราไม่รู้ว่าจะถูกรังแกหรือขับไล่เมื่อไหร่ ก่อนหน้านี้มีการเอาป้ายมาขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่ด้วยซ้ำ” 

จันทรัตน์ย้ำว่าการไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน ทำให้ชาวบ้านไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แม้จะมีบ้าน มีไร่สวนอยู่ตรงหน้า แต่ไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะถูกยึดคืนไปเมื่อไหร่

“ที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนทุกชาติพันธุ์ ทุกคนต้องมีบ้านมีที่ดินทำกิน” จันทรัตน์กล่าว 

การต่อสู้เพื่อสิทธิในผืนดินของชาวไทดำไม่ใช่เรื่องง่ายและยืดเยื้อมาอย่างยาวนาน หลายครั้งพวกเขาต้องเดินทางขึ้นกรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนต่อหน่วยงานต่างๆ ซ้ำๆ นั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายและเวลาที่สูญไปจากการทำมาหากิน 

“มันคือต้นทุนที่เราต้องแบกรับ เพื่อจะได้สิทธิที่ควรเป็นของเราแต่แรก”

สำหรับชาวไทดำ บ้านและที่ดินไม่ใช่เพียงที่อยู่อาศัย แต่คือรากเหง้าและความมั่นคงในชีวิต จันทรัตน์มองว่าคนที่มีบ้านแล้วอาจไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ แต่สำหรับเกษตรกรอย่างชาวไทดำ ที่ดินคือสิ่งจำเป็นที่สุด ถ้าหากมีเอกสารสิทธิ์ ก็จะมีหลักประกันว่าไม่มีใครมารังแก และพวกเขาก็จะได้ใช้เวลาไปทำสิ่งอื่น เช่น การอนุรักษ์วัฒนธรรมและวิถีของชาติพันธุ์ตนเอง

สุดท้ายแล้วแม้การต่อสู้ของชาวไทดำจาก จ.สุราษฎร์ธานี จะผ่านมายาวนาน แต่จันทรัตน์ยังยืนยันว่า พวกเขาจะไม่ยอมถอยจากการเรียกร้องให้เพิกถอน นสล. ที่ออกผิดตำแหน่ง 

“เรายังมีความหวัง ตราบใดที่เรายังสู้ต่อ เพราะถ้าเราไม่ออกมาสู้วันนี้ เราก็จะไม่มีที่อยู่อาศัยทำกิน” จันทรัตน์กล่าวทิ้งท้าย

เขียนและเรียบเรียง: ณฐาภพ สังเกตุ

ภาพ: ณฐาภพ สังเกตุ