ถอดบทเรียน 15 ปี มติ ครม. ชาวเล – กะเหรี่ยง โอกาส หรือ สุญญากาศทางนโยบาย 

อรสา ศรีดาวเรือง

เป็นระยะเวลากว่า 15 ปีแล้ว ที่ประเทศไทยมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 เรื่องแนวนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 เรื่องแนวนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกระเหรี่ยง 

โดย มติ ครม. สองฉบับนี้ มีเป้าหมายส่งเสริมการแก้ไขปัญหาและพัฒนาศักยภาพกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งการฟื้นฟูอัตลักษณ์ แก้ไขปัญหาสถานะบุคคล การเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ และกำหนดแนวคิดเขตพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ หรือที่เรียกกันว่า ‘พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์’ ที่ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ บนฐานการเคารพสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์

ไม่เท่านั้น มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวยังถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการริเริ่มแนวคิดคุ้มครองและส่งเสริมศักยภาพในกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ทั่วประเทศไทย และเป็นหนึ่งในเสาหลักสู่การร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ขณะนี้ได้รับการเห็นชอบในชั้นการพิจารณาของวุฒิสภาแล้ว และอยู่ระหว่างการส่งกลับมายังสภาผู้แทนนราษฎรพิจารณาอีกครั้ง 

อย่างไรก็ดี แม้มติคณะรัฐมนตรีสองฉบับนี้จะเป็นดั่งความหวังและหมุดหมายสำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์ ทว่าในทางปฏิบัติ ก็ยังถือว่ายังไม่สามารถแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมของชาวเลและชาวกระเหรี่ยงได้อย่างแท้จริง 

วงพูดคุยหัวข้อ ‘15 ปี มติ ครม. ชาวเลและชาวกะเหรี่ยง สู่ พรบ. ชาติพันธุ์’ ภาพ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

ในวาระครบรอบ 15 ปี ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ได้จัดวงพูดคุยหัวข้อ ‘15 ปี มติ ครม. ชาวเลและชาวกะเหรี่ยง สู่ พรบ. ชาติพันธุ์’ เพื่อรวบรวมการเดินทางและถอดบทเรียนการต่อสู้ต่อรองของเครือข่ายต่างๆ และปาฐกถาหัวข้อ ‘ทวนอดีต มองปัจจุบัน แลอนาคต… วิถีชาติพันธุ์กับนโยบายรัฐไทย’ โดย ศ.ดร อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ที่พาเราตั้งคำถามต่อไปว่า สังคมไทยจะสร้างความหมายใหม่และออกแบบการอยู่ร่วมกันอย่างไร หลังบทเรียนที่เปี่ยมไปด้วยเลือดและน้ำตาของประชาชน ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา 

จุดเปลี่ยน ‘นโยบายชาติพันธุ์’ จากเลนส์ความมั่นคง สู่มิติวัฒนธรรม

ที่ผ่านมา นโยบายเรื่องชาติพันธุ์ของประเทศไทยมักให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก ทว่าในช่วงปี 2552 รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งที่รวมนักวิชาการ ภาครัฐ และชาติพันธุ์หลายกลุ่ม ร่วมกันร่างมติ ครม. เพื่อ ‘ฟื้นฟูวิถีชีวิต’ ขึ้นมา โดยมีแนวคิดว่า ‘ถ้าชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ได้รับการคุ้มครองและฟื้นฟู อย่างอื่นจะแก้ปัญหาได้’  ซึ่งหากเข้าไปดูประเด็นสำคัญของมติ ครม. ชาวเลและชาวกะเหรี่ยง จะพบสาระสำคัญร่วมกัน 5 ประการ คือ

  1. คุ้มครองศักดิ์ศรีชาวเล กะเหรี่ยง 
  2. สิทธิในที่ดิน และการเข้าถึงทรัพยากร 
  3. สถานะบุคคลและสัญชาติ
  4. การเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน 
  5. ส่งเสริมวิถีชีวิตและวัฒนธรรม

อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)  มองว่า ความสำคัญของมติ ครม. ปี 2553 คือการเปลี่ยนวิธีคิดนโยบายชาติพันธุ์ จากเดิมที่เน้นเรื่องความมั่นคงและการพัฒนาแบบสงเคราะห์ เปลี่ยนเป็นการทำความเข้าใจมิติทางวัฒนธรรม และออกแบบนโยบายให้สอดคล้องกับปัญหาเฉพาะของชาติพันธุ์ชาวเลและกะเหรี่ยง 

“สิ่งนี้จึงเป็นแนวทาง ที่หลังๆ เวลาเรากำหนดนโยบายเกี่ยวกับชาติพันธุ์ เราก็จะหันกลับไปมองก่อนว่า ปัญหาเขาคืออะไร และตัดเย็บนโยบายให้พอดีตัวกับที่เราจะขับเคลื่อนเรื่องชาติพันธุ์ชาวเลและกะเหรี่ยง” 

อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ภาพ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

อภินันท์ เล่าว่า รัฐบาลในยุคนั้นมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาชาติพันธุ์ และขับเคลื่อนด้วยการเลือกชาติพันธุ์ชาวเลและกระเหรี่ยงเป็นกลุ่มนำร่อง ด้วยเหตุผลว่า ในตอนนั้นสองกลุ่มชาติพันธุ์นี้มีความเปราะบางมากที่สุด  และมีสถานการณ์เฉพาะที่ต้องแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 

โดย กรณีชาวเลก็ประสบกับสถานการณ์ ‘ไม่มีที่อยู่อาศัย’ หลังเหตุการณ์สึนามิ อีกทั้งที่ดินของชาวเลส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว จึงเกิดความขัดแย้งในหลายมิติ ส่วนกรณีของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าและอนุรักษ์ของรัฐ ไม่น้อยกว่า 4,000 ชุมชน นั่นหมายความว่า เมื่อปัญหาคนอยู่กับป่าไม่ถูกปลดล็อก ชาวกะเหรี่ยงก็ยังจะเจอปัญหาความขัดแย้งต่อไปไม่มีจบสิ้น 

“ถ้าไปอ่านในมติ ครม. เขาเขียนท่อนท้ายไว้ว่า ทั้งนี้ มติ ครม. ของชาวกระเหรี่ยง ให้นำไปปรับไปปรับใช้กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ด้วย นี่จึงเป็นที่มาสู่การขับเคลื่อนเป็น ร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ฯ”

อย่างไรก็ดี แม้ มติ ครม. ในปี 2553 ทั้งสองฉบับ จะมีคุณูปการในเชิงสัญลักษณ์และเป็นกรอบนโยบายที่สำคัญในการขับเคลื่อนประเด็นชาติพันธุ์ก็ตาม ทว่าในทางปฏิบัติหลายกรณี พบว่ายังขาดการบังคับใช้ตามกฎหมาย อีกทั้งแนวนโยบายนี้ถึงที่สุดแล้วไม่ได้เปลี่ยนแปลง ‘โครงสร้างอำนาจ’ เพื่อให้เกิดการปกป้องสิทธิอย่างมีผลในทางปฏิบัติจริง โดยเฉพาะสิทธิในที่ดินทำกิน ซึ่งส่งผลให้ชาติพันธุ์จำนวนมาก ยังคงเผชิญกับความไม่มั่นคงในการตั้งถิ่นฐานและการถูกฟ้องร้องหรือไล่ออกจากพื้นที่ในปัจจุบัน 

ปรีดา คงแป้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ภาพ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

ปรีดา คงแป้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า มติคณะรัฐมนตรีชาวเลฯ ถือเป็นที่ยืนทางนโยบายอันแรกของกลุ่มพี่น้องชาติพันธุ์ และตามมาด้วยมติ ครม.ชาวกะเหรี่ยงฯ​อย่างไรก็ดี ประเทศไทยมีมากกว่า 60 กลุ่มชาติพันธุ์​​ ถึงแม้จะมีนโยบายหรือมีมติ ครม. แล้วก็ตาม แต่การรวมกลุ่มของเครือข่ายชาติพันธุ์และภาคส่วนต่างๆ ยังมีความจำเป็น และต้องทำจนกว่าทุกปัญหาจะคลี่คลาย 

อาจารย์ชิ-ผศ.ดร.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ นักดนตรีและนักวิชาการชาวกะเหรี่ยง มองว่า ทันทีที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 เรื่องแนวนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเลถูกประกาศ พี่น้องชาวกะเหรี่ยงเองก็ได้เห็นแบบอย่างจากชาวเล และระดมพลผลักดันประเด็นของตนเอง ทำให้ในอีก 1 เดือนกว่า มติ ครม.ชาวกะเหรี่ยงก็ถูกประกาศตามมา

โดยความหวังของชาวกะเหรี่ยงจากมติ ครม. 2553 มีอยู่อย่างน้อย 6 ความหวัง คือ 

  1. หวังว่ามติ ครม. นี้ จะยุติการครอบงำพื้นที่ป่า จากแนวคิดผืนป่าไร้คน สู่การฟื้นคืนภูมิศาสตร์แห่งความทรงจำของชุมชนที่ใช้เป็นพื้นที่สิบทอดองค์ความรู้ สืบทอดธรรมชาติ และใช้เป็นพื้นที่ประวัติศาสตร​์การดำรงอยู่ของบรรพชนของเรา 
  2. หวังว่ามติ ครม.นี้ จะทำให้เกิดสิทธิการจัดการตนเองที่มีสถานะทางกฎหมาย และฟื้นคืนพื้นที่การอยู่ร่วมระหว่างคนกับป่า ให้กลับมาสู่มือชุมชน โดยไม่ใช่การผ่านระบบรัฐอย่างเดียว แต่เป็นการจัดการร่วมระหว่างรัฐกับชุมชน ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขของพื้นที่
  3. หวังว่ามติ ครม. นี้ จะทำให้มีเจ้าภาพเชิงนโยบายและงบประมาณที่เป็นรูปธรรม เปลี่ยนจากการพัฒนาพื้นที่แบบบนลงล่าง สู่การสนับสนุนความรู้ภาคประชาชน 
  4. หวังว่ามติ ครม. นี้ จะช่วยยุติความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรระหว่างรัฐกับประชาชน และรัฐกับชุมชนกะเหรี่ยงเสียที 
  5. เป็นโอกาสในการสืบทอดอัตลักษณ์และมรดกทางวัฒนธรรม  และหวังว่ามตินี้จะเป็นอธิปไตยแห่งการเรียนรู้ใหม่  ให้พื้นที่การศึกษากับชนเผ่า วิถีชีวิตที่มีเรื่องความศรัทธาระหว่างคนกับป่า และบรรพชนของเรา 
  6. หวังว่ามติ ครม. นี้  จะเชื่อมโยงเครือข่ายกะเหรี่ยงและฟื้นพลังของอัตลักษณ์เชิงความสัมพันธ์ของพี่น้องกะเหรี่ยง 15 จังหวัด โดยเป็นโครงสร้างที่จะสามารถสร้างและกำหนดทิศทางอนาคตร่วมกันของชนเผ่ากะเหรี่ยง ที่มีความเป็นเอกภาพบนความหลากหลาย 

“เราคาดหวังมากๆ เมื่อ 15 ปีที่แล้ว แต่หลังจากประกาศมติ ครม. มันเหมือนต้นไม้แห่งมติ ครม. ที่ถูกปลูกไว้ บางพื้นที่ก็รดน้ำพรวนดิน บางพื้นที่ก็ปล่อยให้มันแห้งเหี่ยว มันเลยไม่งอก”  อาจารย์ชิ กล่าว

อาจารย์ชิ-ผศ.ดร.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ นักดนตรีและนักวิชาการชาวกะเหรี่ยง ภาพ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

อาจารย์ชิ  ชี้ประเด็นให้เห็นว่า  แม้ในความเป็นจริง  มติ ครม. ดังกล่าว จะไม่ตอบสนองต่อชนเผ่ากะเหรี่ยงดังที่หวัง  แต่อย่างน้อยสิ่งที่ได้ก็คือพื้นที่เขตวัฒนธรรมนำร่อง  4 พื้นที่ 4 ประเด็น  และเกิดการสถาปนาพื้นที่เหล่านี้มากขึ้นในชุมชนกะเหรี่ยง รวมถึงทำให้เกิดการตื่นตัวของหลายพื้นที่ที่พยายามใช้ มติ ครม. เป็นเครื่องมือสร้างเครือข่าย 

อาจารย์ชิ ยังชี้ให้เห็นว่า รัฐไทยมีมุมมองว่า มติ ครม. นี้ไม่มีสถานะทางกฎหมาย ส่งผลให้ ไม่มีการสั่งการและบังคับใช้จริงในพื้นที่ ไม่ต่างกับการ ‘ทำก็ได้ ไม่ทำก็ไม่เป็นไร’ … นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น 

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ อาจารย์ชิ มองว่า  ช่วงเวลาที่ผ่านมา เราถอดบทเรียนกันทุกปี และพบสาเหตุ อย่างน้อย 3 ปัจจัยคือ 

  1. ปัญหาและข้อจำกัดเรื่องการเข้าถึงข้อมูลของ มติ ครม. ดังกล่าว ซึ่งประชากรกะเหรี่ยงทั่วประเทศมีกว่า 5 แสนคน แต่มีสักกี่คนที่รู้และเข้าใจข้อมูลของมติ ครม. นี้ รวมถึงเครือข่ายกะเหรี่ยงเองยังไม่สามารถแปลงมติ ครม. ดังกล่าวเป็นยุทธศาสตร์ระดับพื้นที่ให้ทั่วถึงได้
  2. ขาดภาษาเชิงนโยบายในการสื่อสารกับกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเอง กับรัฐ และกับสาธารณะ ได้อย่างเข้าใจและเท่าเทียม รวมถึงความหลากหลายของกลุ่มกะเหรี่ยงทั้งมิติวัฒนธรรม เชิงพื้นที่ และภาษาศาสตร์ ที่ถือเป็นจุดแข็ง แต่ในอีกด้านก็เป็นจุดอ่อนในการสร้างความเข้าใจต่อสาธารณะเช่นกัน และยากต่อการสานพลังร่วมให้เป็นเอกภาพ 
  3. ฝ่ายรัฐเอง หลังประกาศ มติ ครม. ดังกล่าวแล้ว ไม่มีแผนยุทธศาสตร์ในการรองรับ ทั้งในเรื่องแผนการดำเนินงาน งบประมาณ บุคลากรและเครือข่าย อีกทั้งรัฐไทยยังไม่มีการพัฒนากลไก ‘พหุภาวะ’ ที่จะสามารถบูรณาการมิติวัฒนธรรมและระบบราชการได้จริง

“มติ ครม. นี้จึงถูกแขวนเป็นสุญญากาศเชิงนโยบายที่ไร้เจ้าภาพ ไร้งบประมาณ และไร้แรงผลักดันจากภาครัฐ” อาจารย์ชิ ทิ้งท้าย 

มองอดีต นโยบาย ‘กีดกัน จำกัดวง ทำให้อ่อนแอ’

“การที่พี่น้องชาติพันธุ์เดินทางมาถึงจุดนี้ได้ เกิดขึ้นจากการต่อสู้ ต่อรอง  กับรัฐมาตลอดสี่ห้าสิบปี  สำหรับพี่น้องชาติพันธุ์แล้ว ไม่มีอะไรได้มาอย่างง่ายดาย ผมใช้คำว่าหยาดเหงื่อ  น้ำตา สายเลือด และชีวิตของพี่น้องจำนวนหนึ่งที่ได้อุทิศให้แก่การต่อสู้ต่อรองนี้”

อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ชวนมองย้อนทบทวนอดีตว่าด้วยรัฐไทยและนโยบายที่ ‘กีดกัน จำกัดวง และทำให้อ่อนแอ’ ซึ่งเป็นกระบวนการการเมืองที่รัฐได้กระทำต่อชาติพันธุ์และกลุ่มชายขอบทั้งหลายมาโดยตลอด  ดังนี้ 

  • การกีดกัน  คือการทำให้ ‘ไม่ใช่คนไทย’ และไม่ให้ได้รับสิทธิต่างๆ 
  • จำกัดวง คือการควบคุมชีวิตไม่ให้มีการเคลื่อนย้าย ทั้งในแง่พื้นที่เชิงกายภาพ พื้นที่สังคมและเศรษฐกิจ 
  • การทำให้อ่อนแอ คือการทำให้ต้องละทิ้ง ‘วัฒนธรรมเดิม’ ที่ครั้งหนึ่งเคยหล่อเลี้ยงชีวิตชุมชน เช่น ภาษา ประเพณี วัฒนธรรม หรือการผลักให้กลายเป็นวัฒนธรรมให้ไร้ความหมายยิ่งขึ้น 

นโยบาย ‘กีดกัน จำกัดวง ทำให้อ่อนแอ’ นี้ นอกจากจะเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับจริง ยังปรากฏชัดเจนในการสร้างความหมายของกลุ่มชาติพันธุ์ที่กักขังพี่น้องไว้ เช่น คำเรียกชาวเขา การทำไร่เลื่อนลอย การรุกป่า การเป็นมือที่สาม ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นวาทกรรมการกดทับไม่ให้เกิดพื้นที่ของประชาชนพลเมือง ซึ่งการสร้างความหมายผ่านวาทกรรมนี้ กระจายไปอย่างกว้างขวางและลึกเข้าไปในระบบคิดของชนชั้นกลางผ่านระบบการศึกษา และกลายเป็นว่า ชนชั้นกลางจำนวนมากกลายเป็นหลังพิงให้แก่รัฐในการกระทำย่ำยีกลุ่มชาติพันธุ์

อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ภาพ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

อรรถจักร์ อธิบายว่า กระบวนการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่เกิดขึ้นและถูกถักสานความรู้ชุดหนึ่งพร้อมๆ กับระบบทุนนิยม และการเกิดขึ้นของทฤษฎีโศกนาฏกรรมสมบัติร่วม (Tragedy of the Commons) โดย Garett Hardin ในปี 1968 ที่มีแนวคิดว่า เมื่อทรัพยากรใดๆ เป็นของส่วนรวม (ไม่มีใครเป็นเจ้าของโดยเฉพาะ) มักจะถูกใช้อย่าง เกินขอบเขต และ เสื่อมโทรมลงในที่สุด เพราะ แต่ละบุคคลต่างก็ใช้ทรัพยากรนั้นเพื่อประโยชน์ของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อส่วนรวม 

ทฤษฎีนี้ถูกขยายไปทั่วโลก ซึ่งด้านหนึ่งความคิดนี้เกิดขึ้นเพื่อต่อต้านรัฐสวัสดิการหรือรัฐสังคมนิยมที่ขยายตัวมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่อีกด้านหนึ่ง ทฤษฎีนีได้เปิดทางให้ทุนนิยม หรือการเปิดทางให้เกิดการครอบครองสมบัติส่วนตัว ซึ่งกลายเป็นหัวใจหลักในการขยายตัวของระบบทุนนิยม 

ทั้งหมดนี้ เปิดโอกาสให้เอกชนเคลื่อนเข้ามาครอบครองสมบัติส่วนรวม หนึ่งในสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เกิดการถือครองที่ดินแบบรวยกระจุก จนกระจาย หรือพูดอีกอย่างคือ มีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่สามารถครองครองที่ดินได้ กระทั่งว่าบางตระกูลครอบครองที่ดินขนาดเทียบเท่าจังหวัดหนึ่งเลยทีเดียว

“ขณะที่กลุ่มทุนสามารถครอบครองที่ดินมหาศาล พี่น้องชาติพันธุ์กลับถูกรุกไล่จากรัฐตลอดเวลา สิ่งที่ต้องย้ำคือ ไม่มีประเทศอารยะที่ไหน ปล่อยให้เกิดการครอบครองที่ดินกระจุกตัวแบบนี้” อรรถจักร์ กล่าว 

มองปัจจุบัน การเติบโตของขบวนชาติพันธุ์

อรรถจักร์ ชี้ว่า การเติบโตของเครือข่ายชาติพันธุ์ที่ผ่านมา อาจทลายกรอบนโยบายรัฐที่ ‘กีดกัน จำกัดวง และทำให้อ่อนแอ’ ได้ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะช่วงก่อนรัฐประหารปี 2557 การต่อสู้ของกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้เกิดภาวะ ‘ค้ำยัน’ กับรัฐได้บ้าง แต่ทว่าหลังรัฐประหาร และการมาของนโยบายทวงคืนผืนป่า ก็ทำให้ขบวนการภาคประชาชนถูกรุกคืบอีกครั้งหนึ่ง

สิ่งที่ อรรถจักร์ ชี้ให้เห็นคือ ในช่วงเวลา 10 ปีของรัฐบาลทหารถึงปัจจุบัน รวมถึงหากผ่านวิกฤตพรรคการเมืองตอนนี้ไปได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ‘การผนวกรวมกันอย่างแนบแน่นระหว่างรัฐกับทุน’ โดยเราอาจพบว่า รัฐมีลักษณะผนวกกับกลุ่มทหารบางส่วน รวมถึงผนวกเข้ากับทุนและพรรคการเมืองบางพรรค ที่รวมกันเพื่อเปิดทางให้กลุ่มทุนสามารถขยายตนเองและครอบครองทรัพย์สินสาธารณะเป็นทรัพย์สินส่วนตัวมากขึ้น 

“เช่น ความพยายามสืบทอดการสร้างพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ ทั้งหมดคือการผลักให้กลุ่มทุนได้เปรียบ แต่โชคดีนิดหน่อยที่พรรคเพื่อไทยอ่อนแอ และยังไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกับกลุ่มทุนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร”  อรรถจักร์ กล่าว 

ขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชนตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา ถูกทำให้ต้องเลือกวัฒนธรรมชุมชน มาเป็นฐานในการขับเคลื่อน ขณะเดียวกัน กลุ่มทุนก็ขยายตัวไปยังพื้นที่ชนบทมากขึ้น ทำให้ประชาชน นักคิด และประชาสังคมต้องเลือก ‘วัฒนธรรมชุมชน’ ขึ้นมาสู้และยันกับกลุ่มทุน 

ทว่าการใช้ฐานวัฒนธรรมชุมชนมาต่อสู้ต่อรองนั้น  อรรถจักร์  มองว่าด้านหนึ่งเป็นข้ออ่อนเนื่องจากบางส่วนก็เป็นวัฒนธรรมชุมชนที่ ‘ถูกสร้างขึ้นมา’ แต่อย่างไรก็ตาม มันคือฐานสำคัญในการต่อสู้กับรัฐและกลุ่มทุนในขณะนั้น

ต่อมา การต่อสู้ได้ถูกขยับจากฐานวัฒนธรรมมาสู่การเมืองมากขึ้น อาทิ ในช่วงของ สกยอ. สมัชชาคนจน เครือข่ายป่าชุมชน เครือข่ายเกษตรกรภาคเหนือ P-move และทำให้ช่วงหลังมานี้ การเมืองกลับมาพ้อมกับการเคลื่อนไหวในความหลากหลายมากขึ้น และที่สุดแล้ว การต่อสู้ทั้งหมดนี้ สิ่งสำคัญคือได้เปลี่ยนจาก ‘’ชาวบ้าน’ มาสู่ ‘พลเมือง’ มากขึ้น  

อรรถจักร์ มองการต่อสู้และการขับเคลื่อนของกลุ่มชาติพันธุ์ในช่วงทศวรรษที่ 2530 เป็นต้นมาใน 3 ด้าน คือ

หนึ่ง – การต่อสู้บนฐานของอัตลักษณ์วัฒนธรรม ไม่ว่าจะงานของเครือข่ายชาติพันธุ์ สภาชนเผ่าฯ เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งได้รับพื้นที่ทางสังคมมากที่สุด และเปลี่ยนความคิดของคนได้มากที่สุด 

สอง – ความเป็นพลเมือง หรือการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ซึ่งเป็นงานที่ริเริ่มกันมานานแล้วและได้รับพื้นที่ทางสังคมมากพอสมควร 

สาม – สิทธิแห่งธรรมชาติ สิทธิในที่ทำกิน รวมถึงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ โดยเรื่องเหล่านี้ถือว่ายังคงอยู่ในสถานการณ์ต่อสู้ต่อรองอย่างหนักหน่วง 

“ดังนั้น พี่น้องชาติพันธุ์และชนเผ่า ยังไม่ประสบความสำเร็จทั้งหมด เราอาจรู้สึกดีขึ้นในบางด้าน แต่เรายังต้องคิดกันต่อไปว่าเราจะเชื่อมทั้ง 3 ด้านเข้ามาสู่การต่อสู้ในอนาคตได้อย่างไร เพื่อคืนความเป็นคนให้แก่เรา”  อรรถจักร์  กล่าว 

อรรถจักร์  ทิ้งท้ายในประเด็นนี้ว่า แม้การต่อสู้ต่อรองที่ผ่านมา จะทำให้เกิดมิติความสัมพันธ์กับรัฐที่เปลี่ยนไปจากเดิมบาง แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่น่าพึงพอใจ วันนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การค้นหาจุดอ่อนและคิดหาว่า เหตุใดเราจึงยังต่อรองไม่ได้ และยังไม่มีพลังพอที่จะเอาสิทธิแห่งธรรมชาติ สิทธิในที่ทำกิน รวมถึงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์คืนกลับมา 

แลอนาคต ทางเลือกชาติพันธุ์

อรรถจักร์ กล่าวสรุปถึงมุมมองต่ออนาคตและทางเลือกของกลุ่มชาติพันธุ์ไว้ว่า  ความสำเร็จจากการต่อสู้เรื่องอัตลักษณ์วัฒนธรรมอย่างเดียวนั้น ‘ไม่เพียงพอ’ สิ่งสำคัญคือต้องเชื่อมมิติอื่นๆ ให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะการเชื่อมต่อกับ ‘การเมืองภาคพลเมือง’ เพื่อนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่เชื่อมต่อทุกๆ ภาคส่วน นั่นเพราะอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์จะต้องสัมพันธ์กับระบบการมีชีวิตอยู่ทางเศรษฐกิจ และทำให้กลุ่มชาติพันธุ์มีชีวิตทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นด้วย

“อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมจะต้องไม่ถูกทำให้เป็นส่วนที่บอกว่าเราเป็นใครทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ต้องเป็นส่วนที่บอกว่า มันเกื้อหนุนชีวิตเราทางการเมือง และเกื้อหนุนทางเศรษฐกิจด้วย ถ้ามันไม่สามารถทำให้เราขยับไปสู่การมีชีวิตที่ดีทางเศรษฐกิจได้ เราต้องคิดกันใหม่”

การเติบโตของขบวนการกลุ่มชาติพันธุ์ จะต้องสร้างความรู้ที่เชื่อมทุกด้านเข้าด้วยกัน เช่นด้านการเกษตรที่เชื่อมปัจจัยการผลิตทั้งหมดเข้าด้วยกัน รวมถึงเชื่อมต่อกับวัฒนธรรม และกลุ่มต่างๆ ในชุมชนส่วนอื่นๆ ด้วย โดย อรรถจักร์  เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว เราจะสามารถสร้างความหมายใหม่ของพลเมืองที่ร่วมกันเป็นประชาสังคม ที่สามารถช่วงชิงพื้นที่ความเข้าใจใหม่ ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มอื่นๆ ในสังคม บนหัวใจสำคัญคือ การเชื่อมต่อกันบนฐานเศรษฐกิจ การเมือง และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม 

เวที 15 ปี มติ ครม. ชาวเลและชาวกะเหรี่ยง สู่ พรบ. ชาติพันธุ์’ ภาพ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

พร้อมๆ กันนั้น ภายใต้เงื่อนไขความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน อรรถจักร์  ชี้ว่า กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในพื้นที่ที่ถูกเลือกสรรและยังไม่ถูกเลือกสรร จะต้องร่วมกันคิดและร่วมกันสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘สมบัติร่วมกันของชุมชน’ ในลักษณะใหม่ที่ตอบสนองต่อชีวิตที่กำลังเปลี่ยนแปลง 

“สิ่งสำคัญคือพี่น้องชาติพันธุ์ต้องเชื่อมกับกลุ่มอื่นๆ เพื่อให้กลายเป็นขบวนการภาคประชาชนที่เท่าเทียมกัน”

อรรถจักร์ ทิ้งท้ายการบรรยายว่า สังคมไทยถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญในทุกด้าน สังคมพี่น้องชาติพันธุ์ก็เช่นเดียวกัน ทางเลือกและทางเดินไปสู่อนาคตจะนำไปสู่อะไร ขึ้นอยู่กับการไตร่ตรอง คิดอย่างหนัก และลงมือปฏิบัติการในวันนี้ โดยเราจะมองเห็นอนาคตของสังคมไทยได้ก็ต่อเมื่อเราได้ทบทวนทางเดินที่ผ่านมา และเข้าใจถึงสิ่งที่รัฐกำลังทำเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี เพื่อสร้างเสริมอำนาจประชาชน

ที่มา: