แม่ฮ่องสอน – ดันห้วยปูลิง เป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษยกตำบล ชี้ควรเร่งทำก่อนธรรมชาติพัง

เรื่อง/ภาพ – พนม ทะโน

บ้านห้วยปูลิง ตำบลห้วยปูลิง อำเภอเมืองจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นหมู่บ้านที่ล้อมรอบด้วยธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ป่าเขียวขจี มีเสียงชะนีร้องเป็นสัญญาณบ่งบอกเวลาเข้านอนในตอนค่ำ และส่งเสียงทายทักยามเช้าตรู่ ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าที่นี่อากาศเย็นตลอดทั้งปี ในช่วงหน้าหนาวอุณหภูมิลดลงต่ำเหลือเพียงเจ็ดองศาเซียลเซียส แต่ความอุมดมสมบูรณ์นี้ อาจอยู่ได้อีกไม่นานนัก หากมีการคุกคามของพืชเศรษฐกิจ ที่เริ่มส่งสัญญาณชัดขึ้นทุกที ชาวบ้านบางรายเริ่มแบ่งหัวไร่ปลายนาไปปลูกข้าวโพดบ้างแล้ว  และท้ายที่สุดอาจถอดใจจากระบบไร่หมุนเวียนที่กฎหมายไทยไม่ขานรับ ซ้ำยังมองว่าเป็นไร่เลื่อนลอย  ทางออกหนึ่งที่จะช่วยยับยั้งสิ่งนี้ได้ คือ “การประกาศเขตวัฒนธรรมพิเศษยกตำบล” ที่มีทั้งสิ้นสิบเอ็ดหมู่บ้าน ที่ส่วนใหญ่ยังทำไร่หมุนเวียนและเน้นพืชสร้างรายได้เสริมที่ปลูกแบบเกษตรอินทรีย์

สภาพพื้นที่ทำกินบ้านห้วยปูลิง เป็นนาขั้นบันไดสลับกับไร่หมุนเวียน

วันนี้ (16 มิถุนายน 2565) ที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยปูลิง วิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอน พร้อมด้วยผู้แทนจากสถาบันพัฒนาชุมชน (องค์การมหาชน) บริหารส่วนท้องถิ่น ผู้นำ และแกนนำชุมชนจากหมู่บ้านต่าง ๆ ได้ร่วมหารือถึงแนวทางการประกาศให้เขตวัฒนธรรมพิเศษทั้งตำบล เพื่อสร้างความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติบนฐานวัฒนธรรมชุมชน และสร้างกติการ่วมในการดูแลรักษาป่า ไม่ให้ถูกคุกคามจากพืชเศรฐกิจเหมือนเช่นหลายชุมชน ที่สูญเสียความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติไปแล้ว โดยส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าเร่งดำเนินการ พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจกับหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งส่วนราชการ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม

เขตวัฒนธรรมพิเศษคืออะไร

เขตวัฒนธรรมพิเศษ เป็นแนวนโยบายตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ว่าด้วยการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง โดยหนึ่งในสาระสำคัญคือการประกาศเขตวัฒนธรรมพิเศษ เพื่อคุ้มครองวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยง ที่ทำกินด้วยระบบไร่หมุนเวียน ที่ผ่านมามีการประกาศเขตวัฒนธรรมพิเศษไปแล้วในหลายพื้นที่ เช่น บ้านห้วยหินลาดใน อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย บ้านแม่จอก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ บ้านดอยช้างป่าแป๋ จังหวัดลำพูน เป็นต้น

ทำไมต้องเป็นห้วยปูลิง

อาจารย์เอฟ หรือนายทรงศักดิ์ ปัญญา รองผู้อำนวยการ และนักวิจัยจากวิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอน เล่าถึงสาเหตุที่เลือกพื้นที่ตำบลห้วยปูลิง เป็นพื้นที่นำร่องการประกาศเขตวัฒนธรรมพิเศษเชิงพื้นที่ในระดับตำบล เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยงสกอว์) เกือบทั้งหมด ประการที่สอง ถือว่าพื้นที่แห่งนี้มีความสำคัญในฐานะที่เป็นฐานทรัพยากรหลัก ที่ให้บริการการเชิงนิเวศน์แก่ประชากรในเมืองแม่ฮ่องสอนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการท่องเที่ยว เป็นแหล่งต้นน้ำอุปโภคบริโภค และเป็นแหล่งน้ำสำหรับการปั่นกระแสไฟฟ้า รวมทั้งยังเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนไดอ๊อกไซขนาดใหญ่ด้วย

นายทรงศักดิ์ ปัญญา รองผู้อำนวยการ และนักวิจัยจากวิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอน

อาจารย์มองว่าการประกาศเขตวัฒนธรรมพิเศษ จะช่วยสร้างความร่วมมือที่ดีระหว่างชาวบ้านและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานรัฐที่ดูแลป่า เนื่องจากที่ผ่านมากระบวนการสร้างความเข้าใจกับชุมชน และการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ค่อนข้างน้อย หรือไม่ถูกยอมรับ ซึ่งอาจขยายร่องรอยความขัดแย้งให้ลึกและซับซ้อนขึ้น

ขณะเดียวกันกิจกรรมนี้ จะเป็นการสร้างฐานรายได้จากการพึ่งป่าอย่างยั่งยืน ไว้ร้องรับคนรุ่นใหม่ที่เรียนจบแล้วต้องการกลับมาอยู่ในชุมชนด้วย

เราต้องออกแบบการสร้างรายได้ไว้รองรับคนรุ่นใหม่ที่เรียนจบแล้วอยากกลับมาอยู่บ้านด้วย คนเหล่านี้คือคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เขาควรมีพื้นที่ในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้เสริมจากป่าอย่างยั่งยืนได้ แต่ถ้าไม่มีพื้นที่เหล่านี้ เขาก็อาจหันไปทำการเกษตรเชิงเดี่ยวเหมือนที่เขาไปเห็นมาจากข้างนอก

เช่นเดียวกับนายไชยยา ศักดิ์คีรีงาม ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 1 บ้านห้วยปูลิง เจ้าของแบรนด์ข้าวกล้องอินทรีย์ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตข้าวอินทรีย์ จากกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  มองว่าการประกาศเขตวัฒนธรรมพิเศษ จะช่วยสร้างความร่วมมือไม่ให้มีการนำเข้าพืชเชิงเดี่ยวในชุมชน โดยเฉพาะการปลูกเข้าโพด ปลุกขิง ซึ่งจะทำให้ป่ากลายเป็นเขาหัวโล้น และไม่อยากให้ชุมกลายเป็นแหล่งสร้างสารตกค้างในธรรมชาติ

“เรามีเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติลุ่มแม่น้ำห้วยปูลิง ที่มีกฎระเบียบห้ามนำเข้าสารเคมี หรือปลูกข้าวโพดในตำบล ซึ่งถ้ามีการนำพืชเชิงเดี่ยวเข้ามา มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้ปุ๋ย ใช้สารเคมี ซึ่งมันก็จะไหลลงไปตกค้างในน้ำ ไหลไปสู่ชุมชนอื่น เราไม่อยากเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่อยากทำร้ายคนอื่น”   

ไชยยา ศักดิ์คีรีงาม ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน บ้านห้วยปูลิง เจ้าของแบรนด์ข้าวกล้องอินทรีย์

เขายังเสริมอีกว่าการสร้างอาชีพเสริมในตำบลด้วยปูลิงนั้น สามารถทำได้โดยไม่ต้องพึ่งพาพืชเชิงเดี่ยวที่ต้องใช้สารเคมี เพราะมีหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาสนับสนุนมากมาย เช่น กรมป่าไม้ เข้ามาทำโครงการสร้างป่าสร้างรายได้  ขณะที่พัฒนาที่ดินอำเภอ เข้ามาส่งเสริมเรื่องการไถกลบแทนการใช้ยาฆ่าหญ้า การทำปุ๋ยหมัก แจกสารปรับปรุงดิน  ส่วนทางเกษตรอำเภอเข้ามาส่งเสริมกาแฟ ทั้งต้นกล้าและอุปกรณ์ตากแห้ง และให้ความรู้ในการบวนการแปรรูปด้วย

ไชยยายืนยันอย่างหนักแน่นว่า ถ้าไม่เร่งประกาศเขตวัฒนธรรมพิเศษ พืชเศรฐกิจเชิงเดี่ยวจะคุกคามจนระบบนิเวศเสียหายอย่างหนักและไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแน่นอน

ทางด้านนายสมบัติ นีกรี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยปูลิง ชาวปกาเกอะญอ มองว่าแนวคิดนี้เป็นเรื่องที่ดี และโรงเรียนพร้อมให้การสนับสนุน เพราะเป็นสิ่งที่โรงเรียนดำเนินการอยู่แล้ว โดยเน้นการสอนให้เด็กรู้คุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ และสร้างจิตสำนึกในการดูและรักษาป่าไม้ การสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของชนเผ่าปกาเกอะญอ

สมบัติ นีกรี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยปูลิง

ขณะที่กาญจนา พานทอง ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีตำบลห้วยปูลิง มองว่าการประกาศเขตวัฒนธรรมพิเศษมีความเป็นไปได้ หากผู้นำและชาวบ้านร่วมมือกันผลักดันอย่างจริงจัง และมองว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระงานให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวด้วย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ทั้งในเขตป่าสงวนและเขตอุทยานแห่งชาติ  ที่สำคัญจะช่วยปลดล็อคให้เกิดการพัฒนาในระดับพื้นที่ให้ดีขึ้น

“เมื่อก่อนเราจะขอไฟฟ้าก็ไม่ได้ จะปรับปรุงถนน ก่อสร้างต่าง ๆ ก็ยากลำบาก เพราะเราอยู่ในเขตป่า แต่ตอนนี้ก็เริ่มมีความเห็นจากหน่วยงาน และมีความเข้าใจในวิถีชีวิตมากขึ้น” กาญจนากล่าว

กาญจนา พานทอง ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีตำบลห้วยปูลิง

ทั้งนี้การประกาศเขตวัฒนธรรมพิเศษในพื้นที่ตำบลห้วยปูลิง เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ภาคประชาสังคมจังหวัดแม่ฮ่องสอน ส่วนราชการระดับจังหวัด และหลายหน่วยงาน ร่วมกันกำหนดให้จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษทั้งจังหวัด เมื่อเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามแนวนโยบายที่กำหนดไว้ใน มติ ครม. 3 สิงหาคม 2553 ว่าด้วยการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง