เส้นทาง ความหวัง กฎหมายชาติพันธุ์ฉบับแรกของประเทศไทย

นับตั้งแต่ตัวแทนชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองเข้าสู่สภาในฐานะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่าง พ.ร.บ คุ้มครองและส่งเสริมวิธีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นครั้งแรก เพื่อร่วมพิจารณาร่างกฎหมาย ร่วมกับกรรมมาธิการสัดส่วนพรรการเมือง และคณะรัฐมนตรี การมีพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ถือเป็นก้าวสำคัญของสังคมไทยในการยอมรับและให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างสังคมที่เท่าเทียมและอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขยิ่งขึ้น ความรู้สึกของผู้มีส่วนร่วมเข้าสู่สภา ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่ตัวแทนชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ได้มีโอการได้ทำความเข้าใจกับหน่วยงานภาครัฐ อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในด้านต่างๆได้เข้าส่าสภาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดอนคตของตัวเอง สังคมไทยได้เห็นความงดงามของวิถีชีวิต คุณค่าที่มีอยู่ในชาติพันธุ์ต่างๆมาเชื่อมโยงกับสังคมใหญ่ ทำให้สังคมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากชาติพันธุ์มากขึ้น ตลอดจนการคุณค่าที่เกิดขึ้นใน พรบ.ฉบับบนี้

การประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและสงเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …. วันที่ 1 สิงหาคม 2567 ที่ห้องประชุมอาคารรัฐสภา

ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์ฉบับนี้ต้องทำให้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมกับกลุ่มชาติพันธุ์ โดยอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามอำนาจหลัก ได้แก่ อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และประชาชน แต่ละฝ่ายล้วนมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มชาติพันธุ์และสังคมไทยโดยรวม ถือเป็นการใช้สิทธิในทางกฎหมาย เปิดพื้นที่ทางการเมืองในการเข้าไปมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนเกิดกระบวนการเรียนรู้ระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนในเชิงเนื้อหา

การปรากฏตัวของชาติพันธุ์สู่สายตาสังคมไทย นับเป็นเรื่องสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประเทศไทย ซึ่งเป็นมรดกอันล้ำค่าที่ควรได้รับการอนุรักษ์และส่งเสริม อย่างไรก็ตาม การนำเสนอภาพลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์สู่สาธารณะนั้นต้องนึกถึงทั้งโอกาสและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นที่จะสามารถการสร้างความเข้าใจอันดีให้กับสังคมไทยได้ การนำเสนอเรื่องราวของกลุ่มชาติพันธุ์จะช่วยให้สังคมไทยส่วนใหญ่เข้าใจถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม และลดความเข้าใจผิดหรืออคติที่อาจมีอยู่ สร้างให้เกิดการนำเสนอวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ การอนุรักษ์วัฒนธรรม การให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์จะช่วยกระตุ้นให้คนทั่วไปในสังคมไทยให้ความสำคัญกับอนุรักษ์วัฒนธรรมของตนเอง การนำเสนอความหลากหลายทางวัฒนธรรมจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยในสายตานานาชาติ

การรณรงค์สนับสนุนร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ วันที่ 8 สิงหาคม 2567 ที่ Thai pbs

การรับรองสิทธิชาติพันธุ์ เป็นประเด็นสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างสังคมที่เท่าเทียมและเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมในประเทศไทย ซึ่งมีกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่หลากหลายกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มก็มีวิถีชีวิต วัฒนธรรม และประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว การเคารพในความหลากหลายการรับรองสิทธิชาติพันธุ์เป็นการแสดงออกถึงการเคารพในความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมที่เปิดกว้างและมีความสุข การสร้างความเท่าเทียม การรับรองสิทธิชาติพันธุ์ช่วยให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้รับโอกาสที่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากร การอนุรักษ์วัฒนธรรม การรับรองสิทธิชาติพันธุ์ยังสามารถช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์

ชนเผ่าพื้นเมือง ในสายตาความั่นคง “ชนเผ่าพื้นเมือง” ในสายตาของฝ่ายความมั่นคงนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและบริบททางการเมือง โดยทั่วไปแล้ว ฝ่ายความมั่นคงมักจะมองกลุ่มชาติพันธุ์หรือชนเผ่าพื้นเมืองในแง่มุมของความมั่นคงของชาติ ซึ่งอาจรวมถึง การภัยคุกคามต่อความมั่นคง ในอดีต กลุ่มชาติพันธุ์มักถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่อาจก่อให้เกิดความไม่สงบหรือกบฏต่อรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่การปฏิบัติที่ขัดต่อสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ความเข้าใจเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ในหมู่ผู้ปฏิบัติงานด้านความมั่นคงได้เปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น มีการตระหนักมากขึ้นว่ากลุ่มชาติพันธุ์เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย และมีสิทธิที่จะรักษาวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของตนเอง นอกจากนี้ ยังมีการตระหนักว่าการปฏิบัติต่อกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยความรุนแรงหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน แต่ยังอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก

เจ้าหน้าที่ยืนอยู่ในไร่หมุนเวียนในวันประกาศเขตวัฒนธรรมพิเศษบ้านแม่ปอคี อ.ท่าสองยาง จ.ตาก

นอกจากนี้ร่าง พรบ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชิตกลามชาติพันธุ์ ฉบับนี้ทำให้เกิดการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ส่วนราชการต่างๆ นับเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างผลบวกต่อชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์อย่างแท้จริง เจ้าหน้าที่ทุกระดับเข้าใจบทบาทหน้าที่และขอบเขตอำนาจในการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์อย่างถูกต้องทำให้การตัดสินใจในการดำเนินนโยบายหรือโครงการต่างๆ สอดคล้องกับหลักการและเจตนารมณ์ของกฎหมาย สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์สร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับสิทธิและความต้องการของพวกเขา

ความเข้าใจของหน่วยงานอนุรักษณ์ป่ากับชาติพันธุ์ ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานที่อนุรักษ์ป่าและชาติพันธุ์เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน การสร้างความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายเป็นสิ่งจำเป็นในการบรรลุเป้าหมายในการอนุรักษ์ป่าและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ในอดีตหน่วยงานที่อนุรักษ์ป่าบางส่วนอาจมองว่าชาติพันธุ์เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาการทำลายป่า เนื่องจากวิถีชีวิตและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของชาติพันธุ์อาจขัดแย้งกับเป้าหมายในการอนุรักษ์ป่า ในปัจจุบัน ความเข้าใจนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแต่ก็ยังขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐในแต่ละยุคสมัยเป็นหลัก หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอนุรักษ์ป่าจำนวนมากเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของชาติพันธุ์ในการช่วยดูแลและอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เพิ่มมากขึ้น และเห็นว่าชาติพันธุ์เป็นพันธมิตรสำคัญในการดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้เหล่านั้น เนื่องจากองค์ความรู้และภูมิปัญญาของชาติพันธุ์ที่มีภูมิปัญญาในการจัดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนมาช้านาน ซึ่งเป็นความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการอนุรักษ์ป่าได้ กลุ่มชาติพันธุ์มีความผูกพันกับป่ามาอย่างยาวนานและลึกซึ้ง วกเขามองว่าป่าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ทำให้พวกเขามีแรงจูงใจในการดูแลรักษาป่าการปกป้องพื้นที่ป่า ชาติพันธุ์หลายกลุ่มเป็นผู้ปกป้องพื้นที่ป่าดั้งเดิม และสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันการบุกรุกทำลายป่าจากคนภายนอกได้อย่างดีเพราะพวกเขาอยู่ในพื้นที่

ปัญหาที่ดินทำกินของกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นประเด็นที่ซับซ้อนและยืดเยื้อมานานในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลมาจากปฏิสัมพันธ์ของปัจจัยทางประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่หลากหลาย รากเหง้าของปัญหาคือ การถือครองที่ดิน กลุ่มชาติพันธุ์มักมีรูปแบบการถือครองที่ดินที่แตกต่างจากสังคมส่วนใหญ่ ซึ่งอาจขัดแย้งกับกฎหมายที่ดินของรัฐ การพัฒนาเศรษฐกิจ การขยายตัวของเมือง อุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้พื้นที่ทำกินของกลุ่มชาติพันธุ์ถูกบุกรุกและลดลงจากนโยบายรัฐ นโยบายการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและที่ดินของรัฐที่อาจไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและความต้องการของกลุ่มชาติพันธุ์ ความขัดแย้งทางสังคม ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์กับกลุ่มคนอื่นๆ ในสังคม อาจนำไปสู่การแย่งชิงทรัพยากรและที่ดิน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกและแหล่งน้ำ ทำให้การวิถีชีวิตในการทำกินของกลุ่มชาติพันธุ์ยากลำบากยิ่งขึ้น พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ดินของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่สูงและมีพื้นที่ทับซ้อนกับพื้นที่อนุรักษ์ของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการครอบครองและใช้ประโยชน์จากที่ดินทำกิน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของวิถีชีวิตและการดำรงอยู่ของชุมชน

ตัวแทนของหลายพรรคการเมืองให้ความเห็นเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ในเวที policy forum: เส้นทาง ความหวังหฎหมายชาติพันธุ์ฉบับแรกของไทย วันที่ 8 สิงหาคม 2567 ณ.Thai pbs

ตัวแทนความเห็นพรรคการเมือง การจัดทำร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ต้องจัดทำอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามอำนาจหลัก ได้แก่ อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และประชาชน แต่ละฝ่ายล้วนมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งเป็นการใช้สิทธิในทางกฎหมาย เปิดพื้นที่ทางการเมืองในการเข้าไปมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชน เกิดกระบวนการเรียนรู้ระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนในเชิงเนื้อหาของกฎหมายอีกประเด็นคือการพูดคุยและอธิบายที่เป็นภาษาชาวบ้านถือว่าเป็นการที่รัฐได้เข้าถึงความเป็นชาวบ้านและเข้าถึงปัญหาจากผู้ประสบปัญหาอย่างแท้จริงแต่ประเด็นสำคัญที่ยังต้องถกเถียงกันต่อไปในแง่ความหมายของคำบางคำที่เพิ่มเติมเข้ามาเช่นคำว่า “ชนเผ่าพื้นเมืองและพื้นที่คุ้มครอง” อีกทั้งยังได้เห็นปัญหาความไม่เท่าเทียมต่างๆของพี่น้องชาติพันธุ์ จนเกิดเป็นความพยายามในการร่างกฎหมายเพื่อพูดคุยและแก้ไขปัญหาโดยมีเจตุจำนงค์ร่วมกันของทุกภาคส่วน

การเกิดขึ้นของพรบ. ฉบับนี้ ทำให้สังคมได้เรียนรู้เกี่ยวกับพี่น้องชาติพันธุ์ผ่านการร่างกฎหมายและนำเสนอความเป็นชาติพันธุ์ ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างจนเกิดเป็นการพูดคุยและนำไปสู่หาทางออกร่วมกันจากทุกภาคส่วน ตัวแทนชาติพันธุ์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการร่างกฎหมาย ทั้งยังทำให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นระหว่างภาครัฐ สังคม และกลุ่มชาติพันธุ์ การรับรองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นการแสดงออกถึงการเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม และเป็นรากฐานสำคัญของสังคมที่เปิดกว้างการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสังคมที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานด้านความมั่นคงและกลุ่มหน่วยงานที่มีหน่ที่อนุรักษ์ป่า ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นและทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง

เวที policy forum: เส้นทาง ความหวังหฎหมายชาติพันธุ์ฉบับแรกของไทย วันที่ 8 สิงหาคม 2567 ณ.Thai pbs

สิ่งที่สังคมไทยได้เรียนรู้จากพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ก้าวสำคัญของสังคมไทยในการยอมรับและให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งนำมาเป็นบทเรียนและประสบการณ์อันล้ำค่าแก่คนสังคมไทยซึ่งจะทำให้เราเห็นคุณค่าและความงดงามของความแตกต่างบนฐานรากของสังคม การเคารพในความแตกต่างจึงเป็นสิ่งจำเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข การบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน การมีส่วนร่วมของประชาชน เสียงของประชาชน และการมีส่วนร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ในการร่างและผลักดันกฎหมายนี้ เป็นกระบวนการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคประชาสังคม และกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันในด้านต่างๆ  การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การสร้างความยั่งยืน การสืบทอดวัฒนธรรม การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นกับสังคมส่วนใหญ่ในบ้านเราเพื่อลบทัศนคติที่เคยมีมาในอดีต เปิดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ ของชาติพันธุ์ พระราชบัญญัตินี้เปิดโอกาสให้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโครงการต่างๆ ที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์และสร้างประโยชน์ให้กับสังคมโดยรวมบทเรียนเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์เท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างสังคมไทยที่ให้เป็นสังคมที่เท่าเทียม เป็นธรรม และสร้างความหลากหลายทางวัฒนธรรมในสังคมไทยเพิ่มมายิ่งขึ้นเพื่อให้ประเทศไทยได้ยืนอยู่บนเทวีโลกได้อย่างสง่างาม

บทความโดย: ภาสกร ลุมไธสง

อ้างอิงจาก: เวที policy forum: เส้นทาง ความหวังหฎหมายชาติพันธุ์ฉบับแรกของไทย วันที่ 8 สิงหาคม 2567 ณ.Thai pbs