
ฉลองชัย ดอยศักดิ์
“คนมละบริไม่ชอบมีเรื่องกับใคร ต้องยอมเขาทุกอย่างแม้จะรู้ว่าเขาเอาเปรียบเรา แม้จะรู้ว่าเขาดูถูกเราก็ตาม เมื่อปีที่ผ่านมามีคนฆ่าตัวตายไปแล้ว 3 คน หัวใจของคนมละบริไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ เมื่อเจอสถานการณ์ที่แรงเกินไปก็รับไม่ค่อยได้ สุดท้ายก็ต้องหาทางออกอย่างนี้”
เด็กหนุ่มชนเผ่ามละบรินามว่าฉลองชัย ดอยศักดิ์ ได้เล่าออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“น้องสาวของพวกเราก็พยายามออกจากหมู่บ้านไปอยู่ในเมือง ผมเองก็เป็นห่วงเขามากไม่รู้ว่าเขาจะไปอยู่อย่างไร พ่อแม่ก็คิดถึงเขามากแต่ก็ติดต่อเขาไม่ได้ แต่ผมก็เข้าใจนะว่าทำไมน้องๆถึงไม่อยากอยู่บ้าน เพราะมละบริในสายตาคนอื่นเป็นคนที่ต่ำต้อยที่สุด จึงทำให้เด็กๆไม่อยากเป็นมละบริอีกแล้ว”

ที่อยู่อาศัยจำลองของชนเผ่าพื้นเมือง: มละบริ
“ทุกวันนี้มีองค์กรเข้ามาเยอะแยะเลย มีหลายๆหน่วยงานเข้ามาดูและถ่ายรูปพวกผม แต่ด้วยนิสัยของคนมละบรินั้นไม่ชอบมีเรื่องกับใคร จึงไม่ปฏิเสธใคร ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว หน่วยงานรัฐ หรือเอ็นจีโอที่เข้ามา เราต้อนรับทุกคน แต่ก็ไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษ เพราะพวกเขาเข้ามาก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย มีหลายครั้งที่พวกเขาพาเราออกไปแสดงให้คนอื่นดูโดยให้นุ่งผ้าเตี่ยว น้องๆผมที่เริ่มโตเป็นหนุ่มแล้วก็ไม่กล้าใส่ แต่ก็ยังบังคับให้ใส่อีก พวกเราเองก็น้อยใจเหมือนกันนะ เพราะเขาทำเหมือนพวกผมไม่ใช่คน”
“ความใฝ่ฝันของผมคือ อยากกลับไปอยู่ในป่าเหมือนเดิม ผมยังจำภาพตอนอยู่ในป่าได้เสมอ พวกเราไม่เคยหิว ไม่เคยต้องใช้เงิน ไม่เคยมีหนี้สิน ทุกคนจะมีน้ำใจต่อกัน อย่างเช่นเวลาได้หมูมาหนึ่งตัว ก็จะแบ่งให้ทุกคนได้กิน โดยเฉพาะครอบครัวที่ไม่ค่อยมีก็จะแบ่งให้เยอะกว่า แต่เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว เพราะเมื่อมีการสร้างบ้านถาวร เวลาไม่อยู่บ้านก็จะต้องล๊อกประตู ก็เหมือนกับหัวใจคนทุกวันนี้ที่ไม่ได้เปิดให้กันเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เมื่อก่อนเราไม่มีคำศัพท์คำว่าอิจฉา แต่เดี๋ยวนี้เรารู้จักและเริ่มใช้คำนี้ในชีวิตประจำวันแล้ว มันหมายถึงว่าความสัมพันธ์ของพวกเราจะไม่เหมือนเดิมอีก”

ที่อยู่อาศัยจำลองของชนเผ่าพื้นเมือง: มละบริ
“พวกเราจะติดต่อพี่ได้อย่างไรอีก หรือผมจะหาซื้อโทรศัพท์เพื่อจะได้ติดต่อกับอิมเพ็คท์ได้” เป็นคำพูดของเด็กหนุ่มชนเผ่ามละบริที่พูดเหมือนอิมเพ็คท์จะเป็นความหวัง เพราะอย่างน้อยพวกเราที่เข้าไปก็เป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่น่าจะเข้าใจพวกเขาบ้าง
การมีโอกาสได้พูดคุยกับฉลองชัย ทำให้ฉันสะเทือนใจเหลือเกินจนไม่กล้าถามอะไรต่ออีกแล้ว ฉันเองก็ไม่กล้ามอบความหวังให้กับเขาเลย เพราะสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือการไปนั่งฟังปัญหาของพวกเขา ช่วยเช็ดน้ำตาให้กันและกัน และเป็นเพื่อนที่จริงใจกับพวกเขา