ณ ต.บ้านไร่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ พนม จิตร์จำนงค์ ชาวญัฮกุร ปราชญ์ชุมชนบ้านไร่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ เป็นหนึ่งในบุคคลที่ลุกขึ้นมาอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาวญัฮกุรโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากผู้เป็นตาของเขาซึ่งเป็น ผู้นำทางวัฒนธรรม

พนมกล่าวว่าเริ่มงานด้านอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาติพันธุ์ญัฮกุรมาตั้งแต่ปี 2547 โดยมีหลายปัจจัยที่เป็นตัวเร่งทำให้วัฒนธรรมของชาวญัฮกุรหายไป ประเด็นแรกคือวิถีชีวิตที่ผูกพันกับการทำไร่หมุนเวียน ใช้ชีวิตอยู่ในป่าต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วยการบริหารจัดการของภาครัฐในเรื่องทรัพยากรป่าไม้ ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัย 2510 ที่ภาครัฐเริ่มเข้ามาทำสัมปทานป่าไม้ ได้มีการจ้างคนญัฮกุรให้มาช่วยตัดไม้ ฝึกให้คนญัฮกุรเลื่อยไม้ จากนั้นพอเปิดให้มีการทำธุรกิจเกี่ยวกับป่าไม้กลุ่มคนจากภายนอกก็ได้เข้ามาจับจองพื้นที่ทั้งอยู่อาศัยและทำมาหากิน อยู่ร่วมกับชาวญัฮกุรทำให้มีการแต่งงานขข้ามชาติพันธุ์ จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการผสมและกลมกลืนทางวัฒนธรรม
“ชาวญัฮกุรไม่ห้ามเรื่องการแต่งงานกับคนนอก เราจะแต่งงานกับใครก็ได้ขึ้นอยู่กับความรักชอบพอกัน จึงทำให้มีทการแต่งงานทั้งกับกลุ่มคนไทยโคราช ไทยอีสานที่เข้ามาอยู่ร่วมกัน” พนมกล่าว

ตามประวัติศาสตร์นั้นชาวญัฮกุรเป็นกลุ่มคนที่คาดว่ามีการสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษชาวมอญโบราณ สมัยทวารวดี ตั้งถิ่นฐานในจังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ และขึ้นไปเหนือสุดที่ จ.เพชรบูรณ์
แม้ว่าประเพณีหลายอย่างของพวกเขากำลังจะสูญหายไปแต่ในวันนี้ก็ได้มีความพยายามรักษาวัฒนธรรม และประเพณีของชาวญัฮกุร โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานการศึกษา คนในพื้นที่และนอกพื้นที่ ในการอนุรักษ์วัฒนธรรมต่าง ๆ ในวันที่อาจจะยังไม่สายจนเกินไป
การกลับมาของประเพณีแห่หอดอกผึ้ง
งานแห่หอดอกผึ้งของชาวญัฮกุร เป็นงานบุญใหญ่ประจำปีที่จัดขึ้นทุกวันที่ 13 ของเดือนเมษายน พนมเล่าว่ากาารจัดเตรียมงานเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 10 เมษายน ชาวญัฮกุรจะมีการสร้างโครงสร้างหอดอกผึ้งขึ้นมา โดยใช้ไม้เนื้ออ่อนเช่น ต้นงิ้วป่าเอามาเหลาทำเป็นโครงสร้างปราสาท
“เมื่อก่อนประเพณีแห่หอดอกผึ้งถูกลืมไปนานเกือบยี่สิบปี” พนมเล่า “แต่มีกลุ่มนักศึกษาและนักวิจัยเข้ามาช่วยผลักดันให้ทางชุมชนบ้านไร่ได้รื้อฟื้นประเพณีนี้ขึ้นมาใหม่”

ประเพณีแห่หอดอกผึ้งเริ่มกลับมาจัดขึ้นอีกครั้งตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบันนี้โดยหลังจากทำตัวโครงสร้างหอดอกผึ้งเสร็จแล้ว จะมีการนำกาบกล้วยมาเป็นตัวปิดโครงสร้างทั้งหมด จากนั้นนำขี้ผึ้งมาหลอมทำเป็นดอกเพื่อมาติดที่ตัวปราสาท จนกระทั่งถึงวันที่ 13 เมษายนในคืนวันดังกล่าวนี้ จะมีงานรื่นเริงฉลองหอดอกผึ้ง มีทั้งการละเล่นปาเรเรและการฟ้อนรำ การละเล่นปาเรเรถือเป็นการร้องเพลงสดของชาวญัฮกุร เสียงร้อง ปาเรเรมีการใช้กลองโทนหรือตะโพน เป็นเครื่องดนตรีให้จังหวะ
พนมกล่าวถึงความเชื่อที่ซ่อนอยู่ภายใต้ประเพณีแห่หอดอกผึ้ง “ในอดีตสมัยรุ่นทวดศพบางศพเขาไม่ได้เผาแต่นำไปฝัง เพราะชีวิตของชาวญัฮกุรเคยอยู่ในป่า นาน ๆ จะเจอพระเดินธุดงค์ผ่านมา ถึงจะได้ทำบุญให้กับผู้ตาย เราจึงเชื่อกันว่าถ้าทำหอดอกผึ้งขึ้นมา ในส่วนหนึ่งจะเป็นการทำบุญให้กับผู้ตายที่อาจจะถูกหลงลืมชาวญัฮกุรเชื่อว่าเป็นการทำงานบุญใหญ่ให้กับบรรพบุรุษ”

อีกหนึ่งเหตุผลคือ เพื่อเป็นการถวายเป็นพุทธบูชาแก่พระพุทธศาสนา เนื่องด้วยชาวชาวญัฮกุรเคารพผีและนับถือพุทธ จึงยึดว่างานนี้เป็นงานบุญใหญ่ ซึ่งประเพณีดังกล่าวเคยห่างหายไปเพราะว่า การผสมกลมกลืนกับวัฒนธรรมใหม่ที่เข้ามาในพื้นที่
ช่วงท้ายของประเพณีแห่หอดอกผึ้ง ในวันที่ 14 เมษายนจะเป็นวันแห่หอดอกผึ้งพร้อมกองผ้าป่า พากันเดินรอบหมู่บ้าน 1 รอบก่อนเข้าไปที่วัด และแห่รอบศาลาอีก 3 รอบ ก่อนขึ้นบนศาลาวัด เพื่อถวายให้พระเก็บดอกผึ้งที่ตกแต่งหอดอกผึ้งไว้ใช้หล่อเทียนพรรษาต่อไป
ปาเรเร กลอนสดที่กำลังจะหายไป
“การร้องปาเรเรเพลงพื้นบ้านของชาวญัฮกุร ตอนนี้มีปราชญ์ชุมชนเหลืออยู่จำนวนน้อย เฉพาะในหมู่บ้านของผมมีคุณยายแค่คนเดียวที่ยังร้องได้”

เสียงร้องปาเรเรนั้นจะมีลักษณะเอื้อนช้า ใช้กลองโทนหรือตะโพนเป็นเครื่องดนตรีให้จังหวะ พนมเล่าว่าในสมัยก่อนนั้นการร้องปาเรเรเพื่อใช้ในการเกี้ยวพาราสี จะมีการแบ่งผู้ร้องออกเป็นสองฝั่ง ชายกับหญิง นั่งเป็นวงกลม จะมีครูเพลงคอยกำกับการร้อง โดยจะเป็นการฟังเนื้อหาคำร้องของฝั่งตรงข้าม เพื่อที่จะโต้กลับหรือเป็นการแก้เพลงกัน
การร้องปาเรเรมักจะเกิดขึ้นในยามค่ำ และบางครั้งขับร้องกันถึงเช้าวันใหม่ โดยในปัจจุบันมีการขับร้อง ปาเรเรในช่วงงานประเพณีแห่หอดอกผึ้ง แม้ว่าคนรุ่นใหม่จะไม่สามารถแต่งกลอนสดในการละเล่นปะเรเรได้แล้ว แต่พนมก็เล่าว่ายังคงมีการสืบสานการฟ้อนรำอยู่
เหตุผลสำคัญที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่สามารถร้องกลอนสดปาเรเรได้ก็คือเรื่องของภาษา เพราะการร้องปาเรเรต้องรู้พื้นฐานของภาษาญัฮกุรเสียก่อน ซึ่งในปัจจุบันแม้แต่คนรุ่นพนมที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ก็ยังมีการใช้ภาษาญัฮกุรปนกับภาษาไทยเนื่องด้วยระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องติดต่อสื่อสารกับคนภายนอก
“เราพยายามรื้อฟื้นและเก็บรักษาหลักฐานทางภาษาญัฮกุร ตอนนี้ได้ยืมตัวอักษรไทยมาทำเป็นพจนานุกรมพื้นบ้านตั้งแต่ปี 2560 ใช้เพื่อเป็นคู่มือในการสอนเด็ก เนื่องด้วยสมัยก่อนภาษาญัฮกุรมีแต่ภาษาพูดไม่มีภาษาเขียน”
โดยในปัจจุบันได้มีการยืมตัวอักษรไทยมาทั้งหมด 29 ตัวอักษรใช้เป็นคู่มือในการสอน ซึ่งภาษาญัฮกุร ที่พูดกันในปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกับภาษามอญโบราณที่ปรากฏในอักษรปัลลวะอยู่ในจารึกสมัยทวารวดีออกเสียงเหมือนกันจนเรียกได้ว่าเป็นภาษาเดียวกัน
“การดำรงรักษาภาษาญัฮกุรตอนนี้ เราใช้วิธีการจัดห้องเรียนในชุมชนชวนเด็ก ๆ มาเรียน โดยให้ปราชญ์ชุมชน (พี่พนม) เป็นคนสอน”
ณฤต เลิศอุตสาหกูล หรือครูเต้าหู้ นักวิจัยชุมชนเครือข่ายภูมิวัฒนธรรมชนเผ่าพื้นเมือง ญัฮกุร เป็นคนกรุงเทพฯ ที่สนใจเรื่องของวิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมือง และเกิดความสนใจเมื่อได้มารู้จักชาวญัฮกุรเมื่อ 5-6 ปีก่อน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาหาโอกาสเข้าไปทำความรู้จักชาวญัฮกุรและทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้คนนอกรู้จักชาวญัฮกุรมากขึ้น
“ความน่ากังวลทางวัฒนธรรมของชาวญัฮกุรตอนนี้คือการสูญเสียทางภาษาของตัวเอง”
โดยระหว่างปีค.ศ. 2022-2032 ทางสหประชาชาติได้กำหนดให้เป็นทศวรรษสากลของภาษาชนเผ่าพื้นเมือง (International Decade of Indigenous Languages: IDIL) และให้ยูเนสโก (UNESCO) เป็นองค์กรรับผิดชอบในการดำเนินการส่งเสริม ฟื้นฟู อนุรักษ์ ภาษาชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลก ซึ่งภาษาของชาวญัฮกุรก็เป็นหนึ่งในนั้น
เต้าหู้เข้าไปทำหน้าที่เป็นครูอาสาในชุมชน พาเด็กทำกิจกรรมในวันหยุด ซึ่งรวมทั้งห้องเรียนทางภาษาด้วย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายภูมิปัญญาที่เต้าหู้มองว่าต้องอนุรักษ์ไว้ โดยเขากล่าวโดยสรุปว่าสิ่งที่ควรค่าต่อการอนุรักษ์ของชาวญัฮกุรนั้นแบ่งออกเป็น 3 ด้านคือ ภาษา, วัฒนธรรม และเรื่องของอาหาร
“บทบาทการปกครองส่วนท้องถิ่นสมัยใหม่ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ชาติพันธุ์เกิดความเหินห่างกัน”

เต้าหู้อธิบายว่า ก่อนหน้านี้พื้นที่ของชาวญัฮกุรเคยเป็นพื้นที่เดียวกัน แต่ถูกแบ่งโดยเขตการปกครองกลายเป็นหมู่ต่าง ๆ จากที่เคยมีวัด มีโรงเรียน เป็นศูนย์กลางระหว่างหมู่บ้านร่วมกัน ช่วยให้ชุมชนยังเข้มแข็งและพึ่งพากันได้ แต่เมื่อแต่ละหมู่บ้านมีวัด มีโรงเรียนเป็นของตนเอง ก็ทำให้ความเป็นน้ำหนึ่งเดียวกันห่างกันไปเรื่อย ๆ
“เป้าหมายการทำงานของเราเพื่อชะลอเพราะมันกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อยู่แล้ว”
เต้าหู้กล่าวกับทางเครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง (IMN) ในตอนท้ายของการให้สัมภาษณ์ เขาตั้งเป้าหมายว่าอยากให้ชุมชนชาวญัฮกุรในเขต จ.ชัยภูมิ ที่เขาเข้าไปทำงานด้วยเห็นภาพชัดมากขึ้นว่า ควรเดินไปในทิศทางไหนกับโลกสมัยใหม่นี้ เป็นการเดินไปข้างหน้าที่ไม่หลงลืมตัวตนของตัวเอง ใช้ศักยภาพทุนทางวัฒนธรรมที่ตนเองมีในการดำรงชีวิตได้อย่างภาคภูมิใจ
“ผมคิดว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้วัฒนธรรมอยู่ได้คือเรื่องของรายได้ เราจะทำอย่างไรให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มในขณะที่เขายังคงรักษาวัฒนธรรม”
จึงทำให้ตอนนี้ชุมชนกำลังก่อตั้งกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชนชาวญัฮกุรบ้านไร่ขึ้นมา โดยขับเคลื่อนมิติภาษา วัฒนธรรม ดนตรี อาหาร และการอนุรักษ์ธรรมชาติ ผ่านกิจกรรม “อาบป่าวัฒนธรรมญัฮกุร” ที่ทำร่วมกับนักวิจัยอาสา ครูกระบวนกร และชาวต่างชาติเข้ามาร่วมสร้างห้องเรียนธรรมชาติเกิดการเรียนรู้แลกเปลี่ยนผ่านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จัดทริปและหลักสูตรต่างๆให้ผู้สนใจ เพื่อหวังว่าจะได้รื้อฟื้นชุมชนชาวญัฮกุรแบบดั้งเดิมให้กลับมาอยู่โลกสมัยใหม่ได้อย่างเท่าเทียม
โดยในตอนท้ายพนมได้อ้างถึงคำของนักวิชาการคนหนึ่งที่เขาเคยพูดคุยและเขาเห็นด้วยว่า ถ้าภาษายังคงอยู่วัฒนธรรมก็จะอยู่ได้ และในตัวของภาษาก็มีองค์ความรู้ที่ทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ โจทย์สำคัญคือจะทำอย่างไรให้วัฒนธรรมเหล่านั้นสามารถกินได้ เพื่อเป็นสิ่งจูงใจให้ชาวญัฮกุรโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ยังคงรักษาและสืบสานวัฒนธรรมของตนเองต่อไป
ช่องทางติดตามเรื่องราวของชาวญัฮกุร เครือข่ายท่องเที่ยวโดยชุมชนชาวญัฮกุรบ้านไร่ โทร. 0866026366
เพจ Made in Nyah Kur ญัฮกุร ทำของ ヤッグン製
เพจ ญัฮกุร ชัยภูมิ Nyah Kur Chaiyaphum
เรียบเรียง: ณฐาภพ สังเกตุ