7 ธันวาคม 2564 – ณ หมู่บ้านกะเบอะดิน ตำบลอมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ชาวบ้านและผู้ร่วมงานต่างเดินทางมารวมตัวกันในงานครั้งสำคัญ “โลกเย็นที่เป็นธรรม 5 ปีแห่งการต่อสู้ของคนอมก๋อย สู่ความท้าทายในวิกฤตโลกเดือด” ที่จะเปิดเผยความท้าทายที่ชุมชนชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองต้องเผชิญในโลกที่ร้อนระอุและเต็มไปด้วยความไม่ยุติธรรม การต่อสู้ของคนอมก๋อยตลอด 5 ปีที่ผ่านมาไม่ได้เป็นแค่การต่อสู้เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ แต่ยังเป็นการยืนยันสิทธิและความเป็นเจ้าของทรัพยากรที่ถูกละเลยจากภาครัฐและภาคธุรกิจขนาดใหญ่

“โลกเย็นที่เป็นธรรม” จะชวนทุกคนไปสำรวจวาทกรรมที่สร้างขึ้นโดยผู้มีอำนาจ ที่โยนความผิดให้กับกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤตการณ์ต่างๆ ทั้งในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาความหลากหลายทางชีวภาพ ขณะที่การเจรจาระหว่างประเทศและการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมกลับล้มเหลวในการปกป้องวิถีชีวิตของคนเหล่านี้ ซึ่งต้องเผชิญกับการคุกคามจากนายทุนที่แสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนอย่างไม่เกรงกลัว
ในงานนี้จะได้ยินเสียงจากชุมชนและผู้นำในการต่อสู้ที่ไม่ยอมให้เหมืองถ่านหินและการทำลายสิ่งแวดล้อมเข้ามาทำลายวิถีชีวิตของพวกเขา หมู่บ้านกระเบอะดิน กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ที่ยืนหยัดต้านทานการแผ่ขยายของอำนาจจากภายนอก เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและรักษาคุณค่าของชนเผ่าพื้นเมืองให้คงอยู่สำหรับลูกหลาน 5 ปีแห่งการต่อสู้ของคนอมก๋อย เป็นประวัติศาสตร์ของการไม่ยอมจำนนต่อการคุกคามจากนายทุนและรัฐ จนกลายเป็นสัญญาณแห่งการลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชน ความยุติธรรม และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
บรรยากาศภายในงานมีการจัดเวทีและติดป้ายเพื่อสื่อสารผ่านข้อความ อาทิ ปลดระวางถ่านหิน, No More coal Mining, ถ่านหินเท่ากับโลกร้อน, Save Omkoi, รัฐต้องไม่เอื้อนายทุน ฯลฯ ทั้งนี้คนในชุมชนยังได้ร่วมกันร้องเพลงและมีการบรรเลงดนตรีพื้นเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ และชวนติดตามการเสวนาในครั้งนี้ที่จะเปิดเผยทุกแง่มุมของการต่อสู้ที่มีทั้งความหวังและความท้าทาย เพื่อโลกที่เย็นลงและเป็นธรรมสำหรับทุกคน
โดย นายคัมภีร์ สมัยอาทร นายกองค์การบริหารส่วนตำบลอมก๋อย ได้กล่าวเปิดงานในหมู่บ้านกะเบอะดิน โดยแสดงความรู้สึกดีใจและขอบคุณชาวบ้านทุกท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ พร้อมย้ำถึงความสำคัญของการต่อสู้เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่าในพื้นที่ หลังจากที่หมู่บ้านต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเรื่องของการแสวงหาทรัพยากรจากภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของพื้นที่
“กะเบอะดินเป็นหมู่บ้านที่มีทรัพยากรดินที่สำคัญและมีมูลค่าสูง ซึ่งเป็นแหล่งที่มีผู้คนจากภายนอกให้ความสนใจเข้ามาหาแหล่งทรัพยากรในพื้นที่ ชุมชนต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน ดังนั้นการรักษาทรัพยากรเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าลูกหลานจะได้สืบทอดสิ่งเหล่านี้ต่อไป” นายคัมภีร์กล่าว

นายก อบต. อมก๋อย ได้ยืนยันที่จะยังคงร่วมมือและสนับสนุนชุมชนกะเบอะดินในการพัฒนาหมู่บ้านและการรักษาทรัพยากรที่มีค่าในพื้นที่ให้ยั่งยืน พร้อมขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมมือกันตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และขอให้ทุกคนยังคงยืนหยัดเคียงข้างกันเพื่อสู้เพื่ออนาคตที่ดีกว่าและการพัฒนาที่ยั่งยืนของหมู่บ้านในอนาคต
นายอรรถพล อำรุงพนม ศิษยาภิบาลคริสตจักรบ้านกะเบอะดิน ได้นำพิธีอธิษฐานเพื่อขอพระเจ้าคุ้มครองและเสริมพลังในการต่อสู้ของชุมชนกับการเปิดเหมืองแร่ในพื้นที่ โดยกล่าวถึงความสำคัญของการนมัสการ สรรเสริญพระเจ้า และการอธิษฐานร่วมกัน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ เพื่อขอบคุณพระเจ้าและทีมงานที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมนี้ รวมถึงผู้ที่เสียสละเวลาเพื่อร่วมพิธี

โดยเน้นย้ำถึงการร่วมมือกันของทุกคนในชุมชนในการต่อสู้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัว พร้อมเชิญชวนพี่น้องคริสเตียนและสมาชิกจากคริสตจักรกะเบอะดินให้มาร่วมบรรเลงดนตรี ขับร้องเพลง และสวดอธิษฐานและเสริมสร้างความสามัคคีในชุมชน พิธีอธิษฐานนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสรรเสริญพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงความร่วมมือและความรักในชุมชน โดยทุกคนได้ร่วมกันยืนหยัดเพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติและอนาคตของหมู่บ้านกะเบอะดิน การร่วมมือกันในครั้งนี้เป็นการยืนยันถึงพลังแห่งความสามัคคีในการต่อสู้เพื่อสิทธิและความยั่งยืนของชุมชน
และเข้าสู่วงเสวนาผ่านเสียงของชุมชน 5 ปีแห่งการต่อสู้ของคนอมก๋อย การเดินทาง จุดยืนและความหวัง ที่มาเล่าเรื่องราวการไม่สยบยอมให้เกิดเหมืองถ่านหินของหมู่บ้านกะเบอะดิน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ได้เป็นประวัติศาสตร์การต่อสู้ของชุมชนผู้นำนักปกป้องสิทธิกว่า 5 ปี ที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจนายทุนให้เข้ามาทำลายทรัพยากรธรรมชาติและลดทอนคุณค่าของกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ดำเนินรายการโดย มนูญ วงมาเซาะห์
ด้าน นาย สุมิตรชัย หัตถสาร ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น ได้อัปเดตความคืบหน้าของคดีต่อสู้กับเหมืองแร่ถ่านหินที่ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาลปกครองเชียงใหม่ หลังจากที่ฟ้องร้องเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2565 โดยเขาได้กล่าวว่า “ตอนนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเท็จจริงของศาล และคาดว่าในปีหน้า ศาลจะมีคำตัดสินในเรื่องการพิจารณาคดีครั้งแรก” พร้อมกับแสดงความหวังว่าในที่สุดศาลจะตัดสินในทางบวก เพื่อปกป้องชุมชนจากการเกิดเหมืองแร่ถ่านหินในพื้นที่

นาย สุมิตรชัยยังได้กล่าวถึงประเด็นหลักของการฟ้องร้องว่า “การทำ EIA Sของบริษัทไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเฉพาะในเรื่องการใช้รายชื่อที่เป็นเท็จและข้อมูลที่ไม่ตรงกับสภาพพื้นที่จริง” เขาเสริมว่า “กระบวนการสัมภาษณ์ชาวบ้านและการทำ EIA ทั้งหมดไม่ถูกต้อง และศาลก็เห็นว่ามีหลายประเด็นที่อาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในการยุติการใช้รายงาน EIA ในการออกประทานบัตร” ซึ่งถือเป็นชัยชนะเล็กๆ สำหรับชุมชนในการหยุดยั้งโครงการเหมืองแร่
นอกจากนี้ เขายังพูดถึงความท้าทายในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง โดยกล่าวว่า “กลุ่มชาติพันธุ์เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และเราต้องเผชิญกับความท้าทายในการหาทางแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน” คำพูดนี้สะท้อนถึงการต่อสู้ของกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองที่ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งจากการทำเหมืองแร่และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขา
ขณะที่ นายกฤษฎา บุญชัย Thai Climate Justice for All กล่าวว่า ชุมชนกะเบอะดินและพวกเราคือกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน และสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ปัญหาของชุมชนหรือประเทศเราเท่านั้น แต่มีผลกระทบต่อโลกทั้งใบ โดยเน้นถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการใช้พลังงาน, โดยเฉพาะจากการเผาถ่านหิน
“โลกที่ร้อนขึ้นไม่ได้เกิดจากวันนี้วันพรุ่งนี้ แต่มันเกิดจากการใช้พลังงานในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะถ่านหิน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เราคือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่เราก็ยังเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องโลกนี้” นายกฤษฎากล่าว

เขายังกล่าวต่อไปถึงความสำคัญของชนพื้นเมืองในการดูแลและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของโลก ในปัจจุบันชนพื้นเมืองดูแล 80% ของความหลากหลายทางชีวภาพของโลก และเราคือหนึ่งในนั้น เรามีบทบาทสำคัญในการรักษาระบบนิเวศและดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ในขณะที่เราเป็นกลุ่มที่ปล่อยคาร์บอนน้อยที่สุด แต่กลับต้องเผชิญกับผลกระทบจากโลกร้อนมากที่สุด
กฤษฎายังชี้ให้เห็นว่า การขุดเจาะถ่านหินในพื้นที่กะเบอะดินจะเพิ่มปริมาณการปล่อยคาร์บอนของประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญถ่านหินที่ถูกขุดขึ้นมาและเผาจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจำนวนมหาศาล ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มอุณหภูมิของโลกในระยะยาว และมันสามารถทำให้สถานการณ์โลกร้อนยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม ชุมชนกะเบอะดินไม่เพียงแต่ปกป้องชีวิตและวิถีของตนเอง แต่ยังช่วยรักษาภูมิอากาศของโลก และเป็นด่านหน้าสำคัญในการลดผลกระทบจากโลกร้อน

“เราเป็นกลุ่มที่เดือดร้อนมากที่สุด แต่ก็เป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องโลกจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เราควรได้รับการสนับสนุนและความขอบคุณจากภาครัฐและภาคธุรกิจที่ไม่ควรทำร้ายชุมชนของเรา” การพูดถึงบทบาทสำคัญของชุมชนท้องถิ่นในปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนี้จึงถือเป็นการเรียกร้องให้รัฐบาลและภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับสิทธิและความเป็นอยู่ของชุมชนที่เป็นผู้ปกป้องทรัพยากรของโลก
ด้าน นางสาวเพชรรัตน์ ศักดิ์ศิริเวทย์กุล Amnesty International Thailand ได้แสดงความวิตกกังวลต่ออนาคตของทรัพยากรธรรมชาติและสิทธิของประชาชนในประเทศ โดยกล่าวถึงความจำเป็นที่ทุกคนจะต้องร่วมมือกันปกป้องสิ่งที่มีอยู่ เพื่อให้แน่ใจว่า ลูกหลานในอนาคตจะสามารถใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดีได้ เธอยกตัวอย่างกรณีของชนพื้นเมืองในหลายประเทศที่ต้องต่อสู้เพื่อปกป้องแหล่งทรัพยากรของพวกเขาจากการขุดเจาะน้ำมันและกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาสิทธิและแหล่งทรัพยากรในทุกประเทศ.
“เราไม่สามารถปล่อยให้เสียงของเราเงียบไป เพราะเมื่อโลกมองมาที่ประเทศเรา พวกเขาก็แค่เห็นความสวยงามแต่ไม่รู้ถึงปัญหาภายในที่เรากำลังเผชิญอยู่ และหวังว่ารัฐบาลไทยจะทำตามสัญญาในเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ได้ตกลงกับนานาชาติ โดยการรับฟังเสียงของประชาชนและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง”เพชรรัตน์กล่าว
ขณะที่ นายอรรถพล พวงสกุล นักรณรงค์ด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่สะอาดและเป็นธรรม กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวถึงความสำคัญของการยุติการใช้ถ่านหินในไทยและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในเวทีสัมมนาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่า ทั่วโลกกำลังพูดถึงการหยุดใช้ถ่านหินแล้ว เพราะวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกระทบทุกประเทศและหลายประเทศ เช่น เบลเยี่ยม สวีเดน และเดนมาร์ก ต่างก็หยุดทำเหมืองถ่านหินไปแล้ว เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยั่งยืน

นายอรรถพลยังตั้งข้อสังเกตว่าแม้ประเทศไทยจะได้เข้าร่วมในสนธิสัญญาปารีส และตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2573 แต่ ยังคงมีการใช้ถ่านหินในกระบวนการผลิตไฟฟ้าในประเทศประมาณ 20% และจะลดลงเพียง 7% ภายในปี 2580 ซึ่งสะท้อนถึงการขาดความพยายามจริงจังในการยุติการใช้ถ่านหินอย่างถาวร ถ่านหินที่ขุดขึ้นมาไม่ได้ใช้แค่ผลิตไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังถูกส่งไปใช้ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ เช่น ที่ SCG จังหวัดลำปางและเรียกร้องให้ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจแสดงความชัดเจนเกี่ยวกับอนาคตของการใช้ถ่านหินในไทย พร้อมทั้งตรวจสอบและปกป้องสิทธิมนุษยชนของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการขุดและใช้ถ่านหิน
“เพื่อให้ชุมชนสามารถอยู่ในพื้นที่ของตนต่อไปได้ เราต้องมีความชัดเจนจากภาครัฐและธุรกิจในการดูแลสิทธิและความเป็นอยู่ของทุกคนในสังคม” นายอรรถพลกล่าว
นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทิดสกุล สส.พรรคประชาชน ได้กล่าวถึงบทบาทของกรรมาธิการในการดูแลและปกป้องทรัพยากรธรรมชาติในสภาผู้แทนราษฎร โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของกลไกการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการละเมิดสิทธิ์และทำลายสิ่งแวดล้อมจากโครงการต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีเหมืองแร่และโครงการขนาดใหญ่

“ทุกวันนี้ คนที่ปกป้องทรัพยากรของบ้านเมืองเริ่มต้นจากคนตัวเล็กๆ ที่เป็นชาวบ้านอย่างพวกเรา กรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎร เช่น กรรมาธิการด้านดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เป็นกลไกสำคัญในการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากโครงการที่ทำลายสิ่งแวดล้อม” นายเลาฟั้งกล่าว
การทำงานของกรรมาธิการมีอำนาจในการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงการเรียกเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง และสามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจาระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เวทีในสภาผู้แทนราษฎรในการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆ
“กรรมาธิการมีบทบาทในการเป็นกลางและช่วยประชาชนในการแก้ปัญหา เราสามารถนำปัญหาของชาวบ้านมาพูดในสภาได้” ส.ส. เลาฟั้ง กล่าวทิ้งท้าย
เรียบเรียง: จตุพร สุสวดโม้