เมื่อวานนี้ (20 เม.ย. 68 ) กลุ่มชาติพันธุ์ไทดำ จากหมู่ 1 และหมู่ 4 ต.ทรัพย์ทวี อ.บ้านนาเดิม และหมู่ 2 ต.กรูด อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ประมาณ 70 คน ได้เดินทางมาปักหลักค้างคืนกันอยู่หน้าอาคารสหประชาชาติ กรุงเทพฯ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวตลอดคืน

โดยในช่วงเช้าของวันนี้ (20 เม.ย. 68) กลุ่มชาติพันธุ์ไทดำได้รวมตัวกันรับประทานอาหารและเตรียมความพร้อมในช่วงบ่ายที่ส่งตัวแทน 20 คนไปยื่นหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ณ ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย อิสรีย์ พรายงาม ตัวแทนชาวไทดำได้ให้สัมภาษณ์กับทางผู้สื่อข่าวว่า
พวกเขาเดินทางมากรุงเทพฯ ในครั้งนี้เพราะต้องการปกป้องสิทธิในที่ดินทำกินที่เป็นของบรรพบุรุษของพวกเขา ที่อยู่อาศัยกันมานานกว่า 70 ปี จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2529 มีการประกาศ น.ส.ล.(หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง) ทับกับที่ดินของชุมชน โดยที่ผ่านมามีการเจรจาและหาทางออกเรื่องนี้ร่วมกัน จนกระทั่งในวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา มีการเข้ามาติดประกาศของฝ่ายปกครอง โดยระบุว่าไม่อนุญาตให้ชาวบ้านไทดำ ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่ 1 และหมู่ 4 ต.ทรัพย์ทวี อ.บ้านนาเดิม อาศัยอยู่ที่นี่อีกต่อไป และให้เวลา 30 วันในการย้ายออก ซึ่งครบกำหนดไปเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ทำให้ตอนนี้ชาวบ้านอาศัยอยู่ด้วยความกังวล
ทางด้านจันทรัตน์ รู้พันธ์ ผู้ประสานงานกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ ชุมชนไทดำ หมู่ 1 และ 4 อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ธานี ก็ได้ระบุว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2563 กลุ่มชาติพันธุ์ไทดำ สุราษฎร์ธานี ในนามกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ไทดำ ได้เข้าร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move) เพื่อให้เกิดกระบวนการเจรจากับภาครัฐ เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดินที่ยืดเยื้อมายาวนาน จนเกิดการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ไขปัญหา จนมาถึงในปี 2564 ได้ข้อสรุปว่าการประกาศที่นสล.ทั้งในปี 2529, 2547, และ 2548 เป็นการประกาศผิดตำแหน่ง โดยผลของการตรวจสอบครั้งนี้มีมติคณะรัฐมนตรี 16 ตุลาคม 2566 ให้แก้ไขปัญหาจนได้ข้อยุติ ผ่านการลงนามเห็นชอบจากทุกฝ่ายตั้งแต่ในระดับอำเภอ (นายอำเภอบ้านนาเดิม) จังหวัด (ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี) และระดับกระทรวง (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) จึงนำไปสู่กระบวนการทำแผนที่ใหม่เพื่อเพิกถอน นสล.ปี 2529 จำนวน 1,318 ไร่

“ที่ผ่านมาไม่เคยรุนแรงถึงขนาดที่มาติดป้ายไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่แบบนี้ เขาไม่มีการแจ้งให้เราทราบล่วงหน้าเลย ทั้งๆ ที่ประเด็นน.ส.ล.(หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง) มีการสอบสวนจากผู้มีอำนาจหน้าที่ คือผู้ว่าราชการจังหวัดและรัฐมนตรีมหาดไทยแล้วว่าระบุผิดตำแหน่ง ผมจึงตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมทางอำเภอถึงไม่มีการทำงานประสานงานกับส่วนกลาง” จันทรัตน์กล่าว
โดยในช่วงเวลา 14.00 น. ณ สำนักงานใหญ่พรรคภูมิใจไทย ทางสิรวิชญ์ บ่อถ้ำ หัวหน้าฝ่ายประสานงานพรรคภูมิใจ เป็นตัวแทนมารับหนังสือจากกลุ่มไทดำ แทนอนุทิน ชาญวีรกูล

โดยรายละเอียดในหนังสือระบุขอให้มีการตรวจสอบการดำเนินการสั่งขับไล่รื้อถอนที่อยู่และผลอาสิน ทั้งที่ปัญหานี้อยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นการขัดกับมติคณะรัฐมนตรีและมติของคณะกรรมการซึ่งกำลังดำเนินการแก้ปัญหาอยู่ และระหว่างการตรวจสอบขอให้นายอำเภอบ้านนาเดิม กลับมาทำงานในกรมการปกครองจนกว่าปัญหาจะแก้แล้วเสร็จ
ข้อต่อมาขอให้อนุกรรมการแก้ปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์ ที่ดินเอกชนปล่อยทิ้งร้าง และปัญหาที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย เร่งแก้ไขกรณีปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์ทุ่งปากขอ อ. บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ฯ ซึ่งมีผลการตรวจสอบแล้วสรุปว่าออกผิดพลาดคลาดเคลื่อนทับที่ดินของราษฎร และขั้นตอนของการแก้ปัญหาได้ข้อสรุปให้สั่งการดำเนินการตามแนวทางการแก้ปัญหาให้แล้วเสร็จ
หลังจากที่มีการยื่นหนังสือให้แก่สิรวิชญ์ ตัวแทนพรรคภูมิใจรับปากว่าจะรับหนังสือไว้ตามระเบียบ และจะประสานงานถึงส่วนงานที่เกี่ยวข้อง โดยคาดการณ์ว่าจะมีข้าราชการในพื้นที่มาร่วมการประชุมคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์และเอกชนปล่อยทิ้งร้าง ณ กระทรวงมหาดไทย ที่มีนายอนุทินเป็นประธานการประชุม ในวันที่ 23 เมษายนที่จะถึงนี้
โดยหลังจากการเสร็จสิ้นการยื่นหนังสือกลุ่มชาวไทดำได้เดินทางกลับมาปักหลักกันที่หน้าอาคารสหประชาชาติ โดยในช่วงเย็นของวันนี้จะมีวงเสวนา “เพื่อนชาติพันธุ์ไทดำ เรียกหาความเป็นธรรมให้คนไทดำ” ที่มีผู้ร่วมวงเสวนาโดย รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง สมาชิกวุฒิสภา, สมบูรณ์ คำแหง ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน, จำนงค์ หนูพันธ์ ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม, สุภาพร มาลัยลอย มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม, และพวงเพ็ญ จิ๋ววิเศษณา สื่อมวลชนอิสระ ก่อนที่ในวันพรุ่งนี้ (22 เมษายน 2568) กลุ่มชาติพันธุ์ไทดำจะมีการนัดรวมตัวเดินขบวนเพื่อยื่นหนังสือตรวจสอบการคุกคามชุมชนไทดำ ซึ่งอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล และขัดกับแนวนโยบายการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมตามมติ ครม. 16 ตุลาคม 2567 ณ ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ สำนักปลัดนายกรัฐมนตรี ในช่วงสายของวันพรุ่งนี้ (22 เมษายน 2568)