ที่ปรึกษาพีมูฟกังวล นิยาม สิทธิ และพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม ในร่างกฎหมายชาติพันธุ์ที่แปรเปลี่ยนไป ขณะที่นักวิชาการ ม.แม่ฟ้าหลวงยัน กลุ่มชาติพันธุ์เรียกร้องแค่สิทธิพลเมืองสมบูรณ์ และเดินหน้าหักล้างรื้อถอนการรับรู้เดิมของสังคม
เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2568 ที่บ้านจิม ทอมสัน คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ สมาคมนักสังคมวิทยาและนักมานุษยวิทยาสยาม (สสมส.) โดยการสนับสนุนจาก ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร จัดกิจกรรม “#ถ้าสังคมดี : สังคมวิทยา-มานุษยวิทยาร่วมเปลี่ยนโลก” มีการเสวนาหัวข้อ “ชาติพันธุ์ในสนามนโยบาย: กระบวนการต่อรองเรื่องสิทธิและความเสมอภาค ใน “พ.ร.บ. ชาติพันธุ์”
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … ผ่านการพิจารณาในชั้นวุฒิสภาแล้ว โดยมีการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดของกฎหมาย จึงต้องส่งกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎร และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายร่วมกันระหว่าง ส.ส. กับ ส.ว.เป็นขั้นต่อไป
นักการเมืองไม่เข้าใจกลุ่มชาติพันธุ์คิดว่าเป็นคนต่างด้าว
สุริยันต์ ทองหนูเอียด ที่ปรึกษา ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม P-move กล่าวถึง ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … ที่ผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภา เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2568 โดยมีการปรับแก้ไขถ้อยคำว่า มีความกังวลใหญ่ 3 เรื่อง ได้แก่ เรื่องแรกนิยามของกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งในการพิจารณาของ ส.ส. และ ส.ว. คำว่า ชนเผ่าพื้นเมืองถูกตัดออก เรื่องที่สองสิทธิต่างๆ ของภาคประชาชนโดยเฉพาะการกำหนดอนาคตของตนเอง และ เรื่องที่สาม คือพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม
สุริยันต์บอกว่า ส.ส. และ ส.ว. พยายามพูดว่า ประเทศไทยที่ดินยังไม่พอ ทรัพยากรยังไม่พอ ทำไมต้องไปแจกกลุ่มชาติพันธุ์ และมีคำว่าต่างด้าวแฝงเข้ามา
“ทำให้เรารู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจ พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ พี่น้องคนไทยดั้งเดิมที่ติดแผ่นดิน เขาไม่ได้สิทธิตามเงื่อนไขของนโยบายการพัฒนาที่ผ่านมา ส.ส. และ ส.ว. ลืมพูดไปว่า นโยบายการถือครองที่ดินทำให้ชาวบ้านเข้าไม่ถึงที่ดิน”

สุริยันต์ เปิดเผยว่า พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยมีอยู่ 6.1 ล้านคนซึ่งเป็นตัวเลขที่ใช้พิจารณาในสภา แต่ตัวเลขประชากรน่าจะมากกว่านี้แล้ว กลุ่มชาติพันธุ์แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม อยู่บนที่สูง 18 กลุ่ม อยู่ในป่า 2 กลุ่ม อยู่บนที่ราบ 37 กลุ่ม และอยู่เกาะแก่งชายฝั่ง 3 กลุ่ม โดยสถานการณ์ของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ยังเป็นสถานการณ์คือสถานะทางกฎหมาย ไม่มีสัญชาติไทย แม้เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา จะมีมติคณะรัฐมนตรีให้พิสูจน์สัญชาติไทยไปแล้ว 4.8 แสนคน
ที่ปรึกษา P-move ระบุว่า ที่ต้องมีกฎหมายชาติพันธุ์เพราะพี่น้องชาติพันธุ์ขาดความมั่นคงในชีวิต ถ้ามีกฎหมายจะเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจ เป็นมรดกของประเทศ พี่น้องมีความมั่นคงในชีวิต และนำไปสู่การแก้ปัญหาต่าง อาทิ เศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ
ร่างกฎหมายชาติพันธุ์ผ่านกรรมาธิการล่าช้า เพราะมีความเห็นหลากหลาย
อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เปิดเผยว่า ร่าง พ.ร.บ.สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย โดยสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่ง เป็นร่างกฎหมายที่เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรและผ่านเป็นฉบับแรก เนื่องจากเป็นร่างของภาคประชาชนที่ตกค้างจากสภาฯ ชุดที่แล้ว และไม่ได้เป็นร่างการเงินจึงเข้าตรงสู่สภาฯ ขณะร่างของรัฐบาลที่ให้ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรจัดทำตอนนั้นยังไม่แล้วเสร็จ ร่างของพรรคก้าวไกล และร่างของพีมูฟเป็นร่างการเงิน ยังเข้าสภาฯ ไม่ได้ เพราะต้องให้นายกรัฐมนตรีรับรองก่อน สภาฯ จึงพักการพิจารณาร่างกฎหมาย 2 เดือนเพื่อรอร่างของรัฐบาล ซึ่งพอได้ร่างของรัฐบาลก็ผ่านการพิจารณาได้อย่างรวดเร็วเพราะเป็นนโยบายเร่งรัด
“คณะกรรมการกฤษฎีกาตัดสาระสำคัญของร่างกฎหมายของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรออกไปหมด ร่างจึงมีเนื้อหาไม่พอ จึงต้องเอาร่างของพีมูฟ และร่างของพรรคก้าวไกล เข้าไปด้วย จึงเจรจากับฝ่ายการเมืองให้รับรอง ทำให้ร่างกฎหมายทุกฉบับเข้าสู่สภาฯ การทำงานในชั้นกรรมาธิการจึงยากมาก เพราะมีหลายฉบับ หลายความคิด”

อภินันท์เปิดเผยอีกว่า กฎหมายต้นร่างจำนวน 42 มาตรา คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ใช้เวลาพิจารณาเป็นปี นับว่านานเกินสมควร บางเรื่องแค่คำคำเดียวมีความเห็นแตกต่างกันมากมาย คำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง” อยู่ในมาตรา 3 แต่ต้องพิจารณาในขั้นตอนสุดท้าย การทำงานในคณะกรรมการธิการต้องมีการพูดคุยต่อรองกัน เรื่องที่ต้องการได้จะไม่ได้ทั้งหมด การขับเคลื่อนกฎหมายด้วยวิชาการไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ แต่ต้องอาศัยฝ่ายต่างๆ อาทิ ภาคประชาชน และฝ่ายการเมือง
ฝ่ายการเมืองมีธงในใจ แม้มีข้อมูลดีก็ไม่อาจโน้มน้าวได้
นิตยา เอียการนา ผู้อำนวยการสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย (IMPECT) กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากกระบวนการออกกฎหมายของสภาฯ ก็คือ ต่อให้คุณจะมีข้อมูลมากขนาดไหน จะถกเถียงขนาดไหน ประเด็นสำคัญก็คือ ธงของกรรมาธิการที่มาจากสัดส่วนของพรรคต่าง ๆ คือ สิ่งสำคัญที่สุดในการเจรจา
“ต่อให้คุณมีข้อมูลเยอะแยะ จะพูดเป็นชั่วโมง แต่ก็ไม่สามารถโน้มน้าวจิตใจของเขาให้เปลี่ยนได้ เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือการทำงานหลังบ้าน กลุ่มที่ทำงานหลังบ้านจะเป็นกลุ่มที่สำคัญมาก ถ้าคุณมีหลังบ้านที่เข้มแข็งก็จะผ่านได้ มันไม่ใช่เราถือกฎหมายแล้วจะใช้ความจริงใจสู้อย่างเดียวแต่เราต้องมีช่องทางที่ทำให้กฎหมายเราผ่านได้”

กลุ่มชาติพันธุ์ไม่ได้เรียกร้องอภิสิทธิ์ แต่ต้องการแค่ความเป็นพลเมืองสมบูรณ์
สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ สำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เริ่มต้นเสวนาด้วยการพูดภาษากลุ่มชาติพันธุ์แล้วถามว่ามีใครเข้าใจสิ่งที่เขาพูดหรือไม่ เชื่อว่า คนร้อยละ 99 ไม่เข้าใจ เพราะเป็นภาษาที่คนรู้จักน้อย แต่ก็เป็นภาษาหนึ่งของไทยที่เกิดขึ้นในยุคพ่อขุนรามคำแหง และเป็นภาษาที่ถูกมองว่า เป็นภาษาอื่นในสังคมไทย อันนี้เป็นจุดเริ่มต้นว่า ทำไมต้องมี พ.ร.บ.คุ้มครองหรือส่งเสริมชีวิตชาติพันธุ์ เพราะถ้าไม่มีกฎหมายก็ไม่แน่ใจว่าภาษานี้จะดำรงอยู่อีกกี่ปี ภาษาม้งมีคนใช้ 10 ล้านคน อยู่ในพม่า 7 ล้านคน มีการใช้ที่ยุโรป และสหรัฐฯ เป็นภาษาสากล ในประเทศไทยเป็นภาษาที่กลายเป็นอื่น
สุวิชานกล่าวอีกว่า พี่น้องชาติพันธุ์ในประเทศไทยอยู่ในสภาวะความเสมอภาคที่มองไม่เห็น และ “ความเป็นพลเมืองที่ยังไม่สำเร็จ” กลุ่มชาติพันธุ์เป็นพลเมืองมีตัวตนแต่พวกเขาไม่มีสิทธิเสรีภาพที่จะกำหนดอนาคตของตนเองได้
“เราคาดหวังว่า ถ้าพ.ร.บ.ฉบับนี้เสร็จ เราจะเป็นพลเมืองที่สมบูรณ์ หรือ สำเร็จเทียบเท่ากับคนอื่น การเรียกร้องสิทธิตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ใช่เราต้องการอภิสิทธิ์ แต่เป็นการทำให้ความเป็นพลเมืองสมบูรณ์”

นักวิชาการมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ระบุว่า เราใช้งานวิชาการด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามาสนับสนุนการขับเคลื่อน โดยเริ่มต้นจากการทบทวนการรับรู้ของรัฐไทยต่อกลุ่มชาติพันธุ์ ว่า รัฐไทยไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มที่มีความแตกต่างเป็นภัยต่อความมั่นคงของสังคม เรายังพบอีกว่า รัฐไทยมีชุดความรู้หนึ่งที่ไม่รู้จักและเขาไม่ยอมรับว่าไม่เป็นความรู้ วัฒนธรรมที่ไม่รู้จักไม่ใช่วัฒนธรรมไทย
“เพื่อจะทำงานให้ได้ เราต้องไปหักล้าง รื้อถอนการรับรู้แบบนี้ หรือ ต้องสร้างพื้นที่ร่วมของการเรียนรู้ เช่น ชาวเขาเป็นคนต่างด้าวต่างแดน เราต้องหักล้างว่า ชาวเขาไม่ใช่คนต่างดาวต่างแดน หรือความคิดเรื่องว่า ชาวเขาเป็นต้นกำเนิดของการทำลายป่า เราต้องรื้อถอน”
สุวิชานเปิดเผยเพิ่มเติมว่า หลังจากรื้อถอนความเชื่อเดิมแล้ว ต้องสร้างการรับรู้ใหม่ ชุดความรู้ใหม่ การสร้างความรู้ใหม่ต้องมีพื้นที่ที่เป็นรูปธรรม เพื่อแสดงให้เห็นว่า นี่คือความโดดเด่นที่เป็นคุณูปการของสังคมไทย เมื่อได้ชุดความรู้ใหม่ก็จะส่งไปให้ภาคีกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อผลักดันเข้าสู่กระบวนการจัดทำนโยบาย จากนั้นต้องโน้มน้าวให้สังคมเห็นถึงความจำเป็นและความชอบธรรมเพื่อสร้างนโยบายไปอุดช่องว่างของ “ความเป็นพลเมืองที่ยังไม่สำเร็จ” เมื่อเข้าสู่สนามนโยบายถูกโต้กลับมา เราก็เข้าสู่กระบวนการหักล้างและรื้อถอนใหม่ โดยใช้ข้อมูลที่เป็นรูปธรรมจากพื้นที่ซึ่งถูกประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ 23 แห่ง
คนยังไม่รู้จักชาติพันธุ์และคิดว่าเป็นคนต่างด้าว
ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช ส.ส. เชียงราย พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายอื่น ไม่เข้าใจว่าชาติพันธุ์คืออะไร ชนเผ่าพื้นเมืองคืออะไร คือ โจทย์หลักที่เจอ จึงอยากนำงานวิจัยมาย่อยเพื่อเผยแพร่ให้ ส.ส. และประชาชนได้รับทราบ เพราะยังมีคนทั่วไปที่คิดว่ากลุ่มชาติพันธุ์เป็นคนต่างด้าวไม่ใช่คนไทย

“ส.ส.ทุกคนไม่ได้มีความเข้าใจในเรื่องของชาติพันธุ์ เราจึงต้องให้ข้อมูลก่อน”
ส.ส.ประชาชนไม่รับปากโหวตร่างที่ผ่าน ส.ว. อย่างไร
ทางด้าน ณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และ กรรมาธิการวิสามัญร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เปิดเผยว่า การผลักดันร่างกฎหมายเจตจำนงทางการเมืองคือเรื่องสำคัญ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม และกฎหมายกลุ่มชาติพันธุ์ แม้ยังไม่สำเร็จ แต่มีคำถามว่า เราจะยอมรับการมีมาลายูปาตานีด้วยได้หรือไม่
ณัฐวุฒิบอกว่า จะมีเจตจำนงทางการเมืองอย่างเดียวไม่พอ แต่ความรู้คือเรื่องสำคัญ ส.ส.ไม่รู้ทุกเรื่อง และส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วย แต่จะทำให้ ส.ส.ไปส่งเสียงแทนประชาชนได้อย่างไร อีกเรื่องคือ เราจะต่อรองหรือจะยอมได้แค่ไหน ถ้าเนื้อของร่างกฎหมายไม่ได้ออกมาตอบสนองต่อสิทธิของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ และใครควรจะมีสิทธิ์ในเนื้อหาของร่างกฎหมาย ถ้าไม่ใช่กลุ่มชาติพันธุ์เอง

“ผมไม่สัญญาว่า พรรคประชาชนจะโหวตอย่างไรกับร่าง ส.ว. ที่กำลังกลับเขามา แต่สัญญาได้ว่า เรายืนบนหลักที่คิดว่า อะไรเกิดประโยชน์กับพี่น้องชาติพันธุ์ที่สุดในฐานะเจ้าของสิทธิ มันควรเป็นการตัดสินใจของพี่น้องเหล่านั้น กฎหมายเขียนด้วยคน แต่สิทธิคือความเป็นจริง”