เมื่อวันที่ 25 พ.ค 2568 ณ ห้อง LT12 ชั้น 2 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ร่วมกับ เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม P-move มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน V1 จัดกิจกรรม “การฟ้องคดีโดยรัฐ: การปิดปากขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชน” มีการเสวนาหัวข้อ เมื่อกฎหมายเป็นเครื่องมือคุกคาม เมื่อการเคลื่อนไหวกลายเป็นความผิด ปากคำผู้ถูกฟ้องคดี มุมมอง และข้อเสนอเชิงนโยบาย และเสวนาหัวข้อ “การเมืองของการฟ้องปิดปาก: สิทธิพลเมืองภายใต้การคุกคามทางกฎหมาย” มุมมองและข้อเสนอนโยบายภาคประชาสังคม ภาคการเมือง

จรัสศรี จันทร์อ้าย กรรมการบริหาร สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ กล่าวว่า พวกตนได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐในเรื่องการจัดการทรัพยากร อาทิ ป่าไม้ ที่ดิน โดยขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และภาครัฐออกกฎหมายจำกัดสิทธิของประชาชน การทำผิด พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ที่ตนได้รับเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2567 ระหว่างเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี จาก เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งรับปากจะแก้ไขปัญหาให้ขบวนการประชาชน มาเป็น แพทองธาร ชินวัตร พอเปลี่ยนรัฐบาลกลไกต่างๆ จะถูกยกเลิกหมด ตนจึงมาติดตาม มาทวงถาม เพื่อยืนยันว่า แพทองธารควรแก้ไขปัญหาตามแนวทางเดิม ด้วยการออกเป็นมติคณะรัฐมนตรี สิ่งนี้ทำให้ตนถูกดำเนินคดีในฐานะคนจดแจ้งชุมนุม

จรัสศรี กล่าวอีกว่า การชุมนุมพวกตนไม่เคยปิดถนน รถสามารถสัญจรได้ตามปกติ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคคือแผงกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วอ้างว่าพวกตนปิดถนน สิ่งนี้คือสิ่งที่พวกตนถูกกระทำมาตลอด การมี พ.ร.บ.ชุมนุมทำให้ประชาชนไม่สามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่ เป็นการจำกัดสิทธิของประชาชน ในการส่งต่อปัญหาถึงรัฐบาล
“ตัวเองเป็นคนเชียงใหม่ การแจ้งคดีที่ สน.ดุสิต การเดินทางไปมาจึงลำบาก การแจ้งคดีตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ (พ.ร.บ.ชุมนุม) ทำให้เราเสียเวลามากขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวัน แทนที่เราจะไปประกอบอาชีพ ถามว่า เราเสียเวลากับค่าเดินทางที่ไม่สมควรต้องเสียตรงนี้”
กรรมการบริหาร สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ เสนอว่า ไม่ควรดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ชุมนุม กับประชาชนอีก และ พ.ร.บ.ฉบับนี้มีปัญหาต่อการแสดงออกของสิทธิพลเมือง ต่อประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการของรัฐ ดังนั้นจึงมีข้อเสนอว่าควรยกเลิก พ.ร.บ.ชุมนุม เพราะ พ.ร.บ.มีปัญหาต่อการแสดงออก และอำนาจการตัดสิทธิใจอยู่ที่หน่วยงานของรัฐ
“ถ้ามีการกระจายอำนาจแท้จริง กระจายการตัดสินใจ พวกเราอยู่ต่างจังหวัดไม่จำเป็นต้องมาเมืองกรุง พวกเรามองว่าทุกครั้งที่เราเรียกร้อง ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในท้องที่ท้องถิ่นได้ แต่ต้องให้เราไปที่ส่วนกลาง ไปที่กรุงเทพฯ ถ้ากระจายอำนาจก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายให้ชุมนุมห่างจากทำเนียบฯ 50 เมตร ทำไมเราต้องมาชุมนุมก็เพราะอำนาจอยู่ตรงศูนย์กลางไงค่ะ”
สุนทร บุญยอด ผู้แทนแรงงานยานภัณฑ์ กล่าวว่า หลังลูกจ้างยานภัณฑ์ 859 คนถูกเลิกจ้าง นายจ้างไม่ได้จ่ายเงินชดเชย ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2567 จนถึงวันนี้ก็ยังชุมนุมอยู่ พวกตนได้ร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ แต่รัฐไม่บังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้น ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข จึงเดินทางเข้าสู่ทำเนียบฯ ในเวลาต่อมา ย้อนกลับไป เมื่อปลายเดือนมกราคม 2568 มีการชุมนุมที่โรงงาน จังหวัดสมุทรปราการ นายจ้างไปยื่นหนังสือต่อตำรวจว่า ลูกจ้างชุมนุมกีดขวางการเข้าออกบริษัท ตำรวจออกคำสั่งให้เรายุติการชุมนุม และแก้ไขการชุมนุม จากนั้นนายจ้างไปยื่นต่อศาลจังหวัดให้ลูกจ้างยุติการชุมนุม ศาลไต่สวนฉุกเฉินและสั่งให้ยุติการชุมนุม ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจาก พ.ร.บ.ชุมนุม ต่อมานายจ้างฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายต่อลูกจ้างฐานกีดขวางทางเข้าออกบริษัท จำนวน 50 ล้านบาท ก็เป็นผลมาจาก พ.ร.บ.ชุมนุมอีก เราเชื่อว่า ถ้าตำรวจไม่สั่งให้เรายุติการชุมนุม นายจ้างก็จะไม่ไปยื่นเรื่องต่อศาลจังหวัด

สุนทร เปิดเผยว่า วันที่ 10 มี.ค. 2568 แรงงานยานภัณฑ์เคลื่อนขบวนมาที่ทำเนียบฯ พวกตนไม่ได้แจ้งการชุมนุม เจ้าหน้าที่ให้ยุติการชุมนุม เราจึงกลับไปชุมนุมหน้าโรงงานที่จังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาเราแจ้งการชุมนุม สิ่งที่ตามมา คือ แผงเหล็กกั้นที่สะพานชมัยมรุเชษฐ์ แต่เราเจรจาและสามารถเดินไปชุมนุมที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) (ตรงข้ามทำเนียบฯ) เมื่อ วันที่ 1 เม.ย. 2568 พี่น้องขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) มาร่วมชุมนุมด้วย แต่เข้ามาไม่ได้ เพราะมีแผงเหล็กของตำรวจกั้นไว้ เราจึงเดินออกไปรับ ทำให้ลูกจ้างยานภัณฑ์โดยคดี พ.ร.บ.ชุมนุม 4 ข้อหา
ตัวแทนแรงงานยานภัณฑ์ ตั้งข้อสังเกตุว่า หากลูกจ้างจะชุมนุมมีกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ควบคุมชุมนุมอยู่แล้ว แต่ทำไมต้องมาใช้ พ.ร.บ.ชุมนุม มาควบคุมอีก และการชุมนุมหลังลูกจ้างเลิกงานก็ต้องใช้ พ.ร.บ.ชุมนุม ควบคุมอีกจึงเป็นความสลับซับซ้อนในการใช้สิทธิ ถือเป็นการจำกัดสิทธิ หมายความว่า พ.ร.บ.ชุมนุม มีไว้เพื่อไม่ให้มีการชุมนุม พ.ร.บ.ชุมนุมส่งผลกระทบต่อการใช้เสรีภาพของคนงานอย่างสิ้นเชิง ส่วนประชาชนทั่วไปก็มีเสรีภาพในการชุมนุมอยู่แล้ว กรณีทำผิดกฎหมายก็สามารถดำเนินคดีอาญาได้ จึงมีคำถามว่า ทำไมต้องมี พ.ร.บ.ชุมนุมอีก จึงเสนอให้ ยกเลิก พ.ร.บ.ชุมนุม
นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้อำนวยการเครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2568 ตนไปขึ้นรถปราศรัยในการชุมนุมของแรงงานยานภัณฑ์ ที่ ก.พ.ร. ทำให้ตนถูกฟ้องคดี พ.ร.บ.ชุมนุม ทั้งที่ในวันนั้นตนพูดถึงชุดข้อเสนอรัฐสวัสดิการ และการชุมนุมวันนั้นเป็นการชุมนุมที่สงบและไม่มีอาวุธ ในการเรียกร้องให้เพิ่มสวัสดิการให้แก่ประชาชนกลุ่มต่าง ได้มีการดำเนินการตามขั้นตอน มีการตั้งคณะกรรมการ ประชุม ฯลฯ แต่สุดท้ายนายกรัฐมนตรีก็ปัดตกร่างกฎหมายเกี่ยวกับสวัสดิการ ประชาชนจึงต้องใช้อาวุธที่สำคัญคือการชุมนุมที่เป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน
นิติรัฐ กล่าวถึง พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะว่า เป็นกฎหมายที่ควรให้ความคุ้มครองแต่กลายเป็นว่าคุกคาม การห้ามชุมนุมในระยะ 50 เมตรจากทำเนียบฯ กลายเป็นเส้นแบ่งระหว่างเสรีภาพกับถูกดำเนินคดี การดำเนินคดีผิด พ.ร.บ.ชุมนุม เป็นต้นทุนและความเสี่ยงของประชาชนเพราะฉะนั้นไม่มีเสียยังดีกว่า พ.ร.บ.ชุมนุม และการฟ้องปิดปาก เป็นสร้างภาระให้กับผู้เรียกร้องสิทธิ เหมือนเป็นการขู่ด้วยต้นทุนทางกฎหมาย
“กฎหมายนี้เป็นมรดกเผด็จการ รัฐประหารปี 57 ปี 58 เกิดเลย จริงๆ ถ้าไปย้อนดู พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ มีความพยายามผลักดันตั้งแต่ปี 49 แต่ไม่ได้ แต่สมัยลุงตู่ผ่าน”

ผู้อำนวยการ We Fair กล่าวด้วยว่า ข้อเสนอเฉพาะหน้าต้องยุติการใช้กฎหมายหรือใช้นโยบายเพื่อกดปราบสิทธิประชาชน ยุติการใช้ พ.ร.บ.ชุมนุมเป็นเครื่องมือเล่นงานประชาชนเพราะว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ และปฏิญญาสากล ระยะต่อไป ควรถอนฟ้องหรือนิรโทษกรรมคดีต่างๆ ของประชาชนที่ไม่เป็นธรรม
เสวนาหัวข้อ การเมืองของการฟ้องปิดปาก สิทธิพลเมืองภายใต้การคุกคามทางกฎหมาย มุมมองและข้อเสนอนโยบายภาคประชาสังคม ภาคการเมือง
จำนงค์ หนูพันธ์ ประธานที่ปรึกษา P-Move เปิดเผยว่า คดีของตนที่จะมีการตัดสินในวันที่ 28 ส.ค. 2568 เป็นการเคลื่อนขบวนในวันที่อยู่อาศัยโลก ในเดือนตุลาคม ปี 2566 ขบวนเคลื่อนจากศาลาว่าการกรุงเทพฯ ไปที่องค์การสหประชาชาติ ถนนราชดำเนิน การรณรงค์เป็นเรื่องปกติเพราะทำเป็นประจำทุกปี และต่อมาเคลื่อนมาที่ประตู 5 ทำเนียบฯ เราไม่นึกว่าการเคลื่อนไหวตามสิทธิในรัฐธรรมนูญจะถูกฟ้องคดี พ.ร.บ.ชุมนุม ที่สุดท้ายมาหมายมาถึงตนในฐานะผู้จัดการชุมนุม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2557 เคยจัดการชุมนุมภายใต้กฎอัยการศึกแต่ก็ยังไม่โดนคดี จึงคิดว่าทำแบบนี้ไม่น่าจะโดน

จำนงค์มีคำถามว่า ทำไมยังไม่ยกเลิก พ.ร.บ.ชุมนุม ที่ทำให้เกิดบรรยากาศว่า ระบอบประชาธิปไตยภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยนำกฎหมายเผด็จการมาใช้ แล้วทำไมตนถึงโดนคดีรวม 5 คดี ทั้งที่ตนเป็นผู้จัดการชุมนุมไม่กี่ครั้ง นอกจากนั้นก็ไปร่วมชุมนุม คิดว่าการดำเนินคดีไม่ได้ทำตามกฎหมาย แต่ทำตามความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจมากกว่า
ประธานที่ปรึกษา P-Move เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายกรัฐมนตรีสามารถสั่งว่า คดีที่เป็นความเดือนร้อนของชาวบ้านไม่ต้องดำเนินคดี แต่นายกรัฐมนตรีไม่ทำ ยืนยันว่าถ้าจะปฏิรูปต้องปฏิรูปตำรวจ ระบบราชการ และระบบยุติธรรม เพราะมีการเลือกปฏิบัติ ไม่ชัดเจน และไม่มีความยุติธรรม
“คดีที่พี่น้องโดนเป็นภาระ ไม่สร้างความยุติธรรมแน่นอน เพราะเอาตาม พ.ร.บ.ชุมนุม โดยที่ไม่ให้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญใหญ่กว่าอยู่แล้ว ยังยืนยันว่าต้องยกเลิกมรดกคสช. (คสช.-คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ให้ได้ ภาคประชาชนยืนยันว่าต้องยกเลิก พ.ร.บ.ชุมนุมครับ”
รักชนก ศรีนอก ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน กล่าวถึงการถูกฟ้องคดีก่อนหน้านั้นว่า ประมาณปี 2563-64 มีการชุมนุมของเยาวชน ที่หน้าศาลอาญา ตนพูดว่า ขอเรียกร้องจรรยาบรรณของสื่อ ถ้าสื่อยังเข้าข้างความรุนแรง ยังเข้าข้างอำนาจรัฐ บอกว่าผู้ชุมนุมสร้างสถานการณ์ซึ่งเป็นเหตุผลที่รัฐต้องใช้ความรุนแรง สถานการณ์จะวนไปเหมือนเหตุการณ์ปี 2553 ที่สื่อเป็นตัวกลางในการสร้างความเกลียดชังคนเสื้อแดง สื่อเป็นคนสร้างความชอบธรรมให้รัฐมาล้อมปราบ โดยในปี 2553 “ไอซ์ยังไม่ได้เป็นไอซ์ในทุกวันนี้” ตนก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกสื่อหล่อหลอมให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน พอในเหตุการณ์ชุมนุม ปี 2563-64 ตนก็ด่าทุกสื่อ และเอ่ยถึงสื่อสำนักหนึ่งว่า คุณคือตัวกลางในการทำลายระบอบประชาธิปไตย คุณสร้างความเกลียดชัง สร้างข่าวเท็จ หลังจากนั้นก็โดนฟ้องหมิ่นประมาท แต่คดีนั้นศาลยกฟ้อง เพราะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

รักชนก กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้เราพูดในฐานะประชาชน แต่วันนี้สิ่งที่ตนพูดคงไม่มีใครปฏิเสธว่า สิ่งที่พูดเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อประโยชน์ของผู้ประกันตน แล้วถ้าพูดเพื่อประโยชน์ของผู้ประกันตน ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาฟ้องเรา รัฐมนตรีเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเรื่องในสำนักงานประกันสังคมรัฐมนตรีล้วงลูกไม่ได้ แต่พอเรานำข้อมูลมาตีแผ่ ว่าสำนักงานประกันสังคมรั่วไหล ใครที่แวะเวียนเข้ามาก็มาตอดกินมาดื่มกินมาหาส่วนต่างจากสำนักงานประกันสังคม
“ถ้าคุณบอกว่าคุณไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะรัฐมนตรีล้วงลูกไม่ได้ สิ่งที่ควรจะทำคืออะไร คุณก็ควรจะซัพพอร์ต (สนับสนุน) เรา ในการที่จะช่วยกันหาข้อมูลช่วยกันขุดคุ้ยประกันสังคมว่ามันเกิดอะไรขึ้น มาคุยกันแล้วทำให้ประกันสังคมโปร่งใสและดีขึ้นร่วมกัน แต่สิ่งที่เราได้รับกลับกลายเป็นเราถูกฟ้อง”
รักชนกกล่าวอีกว่า ทั้งๆ ที่คนทั้งสังคมเพิ่งจะรู้ว่า สำนักงานประกันสังคมทำปฏิทินทุกปีๆ ละ 50-70 ล้านบาท แล้วปฏิทินยกเลิกไม่ได้ ทั้งที่ผู้ประกันตนและนายจ้างไม่มีใครอยากได้ และคณะกรรมการมี 3 ฝ่าย ผู้ประกันตนไม่อยากได้ นายจ้างไม่อยากได้ แล้วต้องทำอยู่หมายความว่าอะไร มันแปลว่าฝั่งราชการจะเอาใช่ไหม ทำไมฝ่ายราชการจึงมีอนุภาพจะเอาสิ่งนี้ ทั้งที่คนทั้งสังคมเห็นตรงกันว่าไม่เอาสิ่งนี้
“มันมีใครต้องส่งลูกเรียนเพราะใช้เงินจากปฏิทินประกันสังคมอยู่หรือเปล่า มันมีใครต้องเลี้ยงดูครอบครัว ใช้เงินตรงนี้อย่างสุขสบายอยู่หรือเปล่า อันนี้คือสิ่งที่อยากให้พ่อแม่พี่น้องประชาชนตั้งคำถาม”

ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน กล่าวด้วยว่า ทำปฏิทินมาตลอด 10 ปี 50 ล้านฉบับแต่ไม่มีใครบอกว่าเคยเห็นหมายความว่าอย่างไร มีใครกี่คนบ้างที่เคยได้ปฏิทิน ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าพิมพ์จริงหรือไม่ แจกจ่ายไปจริงหรือไม่ ต่อมามีเรื่องซื้อตึกสกายไนน์ 7 พันล้านบาทอีก ทั้งที่ไม่ได้ผลตอบแทนตามที่เคยคุยไว้ ยิ่งขุดยิ่งเห็นว่า คุณบอกว่ามีใบรับรองที่ทำให้ราคาเพิ่ม และมีผลต่อการซื้อตึก เป็นตึกสีเขียว ตึกรักษ์โลก ประหยัดพลังงาน ปรากฎว่า เรื่องแดงในคณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณว่า สำนักงานประกันสังคมเพิ่งรู้ว่า ตึกนี้ไม่ได้ใบรับรองจริงๆ สุดท้ายใครต้องรับผิดชอบในการลงทุนนี้
“ถ้าคุณไม่ถอดบทเรียน ไม่หาวิธีป้องกัน เดี๋ยวในอนาคตมันก็เกิดเหตุแบบตึกประกันสังคมอีกเป็นสิบๆ ตึก เข้าใจว่าทุกวันนี้ก็เตรียมกันไว้แล้วด้วย อยากจะลงทุนอีกหลายตึก”
รักชนกกล่าวว่า ถามว่ามีเหตุผลอะไรที่ตนต้องถูกฟ้อง ทั้งที่การที่ตนออกมาพูดสามารถปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนได้อย่างมหาศาล เหตุผลอะไรที่ต้องฟ้องร้อง และการที่ตนถูกฟ้องในฐานะ ส.ส.ทำให้เสียเวลาไปทำงานตรวจสอบเรื่องอื่นอีก เช่น กสทช. หรือ สำนักงานประกันสังคม กรณีซื้อรถใหม่ แล้วรถเก่าเอาไปบริจาควัด แล้วนำไปให้นอมินี เวลาที่ตนต้องเสียไปกับการต่อสู้คดีที่ถูกฟ้องคือเวลาที่เสียไปกับการทำประโยชน์ให้ประชาชน