ชนเผ่าม้งกับปมขัดแย้งด้านทรัพยากรที่ดิน ที่ยังไร้ทางออก

“ม้ง” เป็นชาติพันธุ์ข้ามชาติ เคยอาศัยในดินแดนที่เป็นประเทศจีนปัจจุบัน ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวม้งส่วนหนึ่งอพยพย้ายถิ่นฐานมายังภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ ช่วงหลังสงครามเย็นมีชาวม้งหลายหมื่นคนอพยพลี้ภัยทางการเมืองจากลาวไปอยู่ตามประเทศตะวันตก ทุกวันนี้มีชาวม้งรุ่นใหม่เดินทางไปศึกษาต่อและแต่งงานกับพลเมืองของประเทศต่าง ๆ ทำให้มีชาวม้งอาศัยอยู่กระจายกระจายเช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ

ในประเทศไทย ชุมชนม้งกระจายอยู่ตามพื้นที่รอบนอกของ 14 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พะเยา น่าน แพร่ ลำพูน สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย กำแพงเพชร ตาก และกาญจนบุรี ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความขัดแย้งเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดิน

ปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินบนพื้นที่สูงของกลุ่มชาติพันธุ์มิใช่ปัญหาใหม่ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น แต่มีรากความขัดแย้งมาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2500 โดยเฉพาะหลังจากฝิ่นถูกประกาศเป็นพืชผิดกฎหมายในปี พ.ศ.2502

ก่อนปี พ.ศ. 2502 ฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจหลักบนพื้นที่สูงที่มิได้เป็นพืชผิดกฎหมาย ชาวม้งเองก็ไม่ได้ถูกปิดกั้นจากรัฐ พวกเขาสามารถสะสมทุนจากฝิ่นได้จนมีความมั่งคั่ง สามารถว่าจ้างกลุ่มชาติพันธุ์อื่นมาเป็นแรงงานในไร่ฝิ่นของตนเองได้ แม้ภายหลังฝิ่นจะถูกประกาศให้เป็นพืชผิดกฎหมาย แต่รัฐก็ใช้วิธีออกใบอนุญาตปลูกฝิ่นและเสพฝิ่นให้กับคนม้ง

ต่อมามีการตราพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 ตามด้วยพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ประกอบกับภาครัฐหันมาบังคับใช้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 อย่างเคร่งครัดเพื่อควบคุมการใช้ประโยชน์พื้นที่สูง ทำให้กลุ่มชุติพันธุ์ม้งได้รับผลกระทบจนขาดความมั่นคงในชีวิต

ปัญหาข้างต้นรับรู้ในหมู่ผู้มีอำนาจระดับสูงของรัฐไทย แต่กลับมิได้ถูกแก้ไขอย่างเป็นธรรม แทนที่รัฐจะให้สิทธิ์ครอบครองที่ดิน กลับใช้มาตรการควบคุมและจัดการคนบนพื้นที่สูง มีการจัดตั้งหน่วยงานราชการเข้ามาทำงานโดยตรงกับกลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่ “คณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขา” (พ.ศ.2502) พยายามอพยพโยกย้ายชาวม้งเข้าไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ควบคุมที่เรียกว่า “นิคมสร้างตนเอง” ต่อมากลายเป็น “กองสงเคราะห์ชาวเขา” (พ.ศ.2505) เน้นแนวทางช่วยเหลือแบบสงเคราะห์ และมี “ศูนย์วิจัยชาวเขา” (พ.ศ.2506) คอยทำหน้าที่ผลิตชุดความรู้เกี่ยวกับชาวเขา จัดวางให้รัฐมีความชอบธรรมในการบริหารจัดการและควบคุมกลุ่มชาติพันธุ์ รวมถึงจัดตั้งโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนในชุมชนชาติพันธุ์ด้วย

การเสด็จของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปยังชุมชนบนดอยบ่อยครั้งนับตั้งแต่กลางพุทธทศวรรษ 2500 เพื่อช่วงชิงมวลชนมิให้ยอมรับแนวคิดของขบวนการคอมมิวนิสต์ที่กำลังแผ่ขยายอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประกอบกับมาตรการแก้ไขปัญหาที่ละเลยและไม่สนใจปัญหาปากท้องและความเป็นอยู่อย่างจริงจัง ยังทำให้ชาวม้งเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับความกระทบกระเทือนมากที่สุดจากการจัดรูปเศรษฐกิจใหม่ ดังที่ ประภาส จารุเสถียร ขณะดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยและประธานคณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขา เคยเขียนความเรียงเกี่ยวกับชาวเขาในประเทศไทยเอาไว้

กอปรกับเจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยงานท้องถิ่น รวมถึงผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือกดขี่ ขูดรีด ล่วงละเมิดสิทธิ วิถีการทำกิน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  ปมขัดแย้งข้างต้นกลายเป็นฉนวนเหตุผลักให้ชาวม้งบางพื้นที่เข้าร่วมต่อสู้ทางการเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในปี พ.ศ.2510 เริ่มจากชุมชนม้งบนดอยยาวและดอยผาหม่น แล้วทยอยเกิดขึ้นตามจังหวัดชายแดนต่าง ๆ ที่มีชาวม้งอยู่อาศัย ไล่ตั้งแต่น่าน ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย ยังผลให้รัฐไทยต้องให้ความสำคัญกับชุมชนม้งมากขึ้น ผ่อนปรนให้อยู่สภาวะยกเว้นและปลอดจากจากการบังคับใช้กฎหมายตามปกติตลอดช่วงสงครามเย็นเรื่อยมาจนถึงต้นพุทธทศวรรษ 2540 ภายใต้โครงการที่กำกับและดูแลของสถาบันพระมหากษัตริย์

ชุมชนชาติพันธุ์ม้งภูทับเบิก อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นตัวอย่างชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินมาโดยตลอด

ผืนป่าภูทับเบิกเป็นป่าไม้และภูเขาสลับซับซ้อน กลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ม้งอาศัยอยู่มานานกว่า 100 ปี กระทั้งเกิดเหตุการณ์ต่อต้านคอมมิวนิสต์ขึ้นในปี พ.ศ.2500 แนวร่วมพรรคคอมนิวนิสต์แห่งประเทศไทยขยายแนวคิดจากตัวเมืองเข้าสู่ป่า กระทั่งปี พ.ศ.2502 ได้ก่อตั้งนิคมสร้างตนเองและสงเคราะห์ชาวเขาภูลมโล วันที่ 18 มกราคม 2509 พื้นที่บนภูทับเบิกได้รับการจัดตั้งเป็นนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขาตามมติคณะรัฐมนตรี จนหลังเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม 2519 นักศึกษาบางส่วนที่ถูกทางการกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์อพยพหลบหนีเข้ามาอยู่ในป่าเป็นเวลายาวนานกว่า 15 ปี

บรรยากาศยามเช้า ณ ภูทับเบิก ภาพ: น้ำฝน กึกก้องโลกา

เมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติชุมชนชาติพันธุ์ม้งภูทับเบิกกลับมาประกอบอาชีพเกษตรกรรม จนหลังปี พ.ศ.2543 เริ่มพัฒนาการท่องเที่ยว โดยผู้ใหญ่บ้านยุคนั้นแจ้งนายอำเภอถึงความสวยงามของพื้นที่ และมีหน่วยงานราชการทั้งระดับอำเภอและจังหวัดขึ้นมาสำรวจ ส่งเสริมเป็นแหล่งท่องท่องเที่ยวเชิงนิเวศจังหวัด ให้เป็นทางเลือกจากอำเภอเขาค้อ

ปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินปะทุเป็นระลอกคลื่นเกิดขึ้นอีกเมื่อวัน 19 สิงหาคม 2559 ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์, อธิบดีกรมป่าไม้, อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ, ผบก.ภ.จว.เพชรบูรณ์ และ กอ.รมน. ประกาศปล่อยกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 500 นายบริเวณหน้าว่าการอำเภอหล่มเก่า สนธิกำลังทั้งฝ่ายป่าไม้ ตำรวจ ทหาร, กอ.รมน. และ อาสาสมัคร เปิดปฏิบัติการรื้อถอนรีสอร์ต 19 แห่งที่ถูกคำสั่งให้รื้อถอน

พาดหัวข่าวเว็บไซด์กรุงเทพธุรกิจ “หวิดปะทะ ! ม้งภูทับเบิก ปิดล้อม จนท.อุทยาน ปักป้ายยึดรีสอร์ทผาหัวสิงห์” วันที่ 23 มกราคม 2567

พาดหัวข่าวมติชนออนไลน์ “ภูทับเบิก ถูกบุกรุกหนัก แรงกว่าปี 59 เจ้าเดิม โนสนโนแคร์ ถูกจับแล้วไม่ยอมรื้อ กอ.รมน.อ่อนใจท้องถิ่นไม่ขยับ” วันที่ 20 พฤษภาคม 2567 บ่งบอกสถานการณ์ขัดแย้งที่เกิดขึ้นตามมาอีกหลายครั้งถึงปัจจุบันนี้

ชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ม้งม่อนแจ่ม ตำแหน่งหนองหอยเก่าและหนองหอยใหม่ เรียกว่า “ชุมชนม่อนแจ่ม” ในปัจจุบัน เป็นพื้นที่หนึ่งที่ได้รับการผ่อนปรนยกเว้นจากการบังคับใช้อำนาจ สืบเนื่องจากการเกิดขึ้นของโรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ 2 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 และมีการเสด็จเยี่ยมพสกนิกรในพื้นที่ของในหลวงรัชกาลที่ 9 หลายครั้ง พระราชทานเครื่องกันหนาว สมุด ดินสอ แก่นักเรียนและราษฎรที่ยากจน และที่สำคัญคือ การจัดตั้งโครงการหลวงหนองหอยในปี พ.ศ. 2527 มีอิทธิพลอย่างยิ่งในการปรับเปลี่ยนพืชเศรษฐกิจของชาวม้งจากฝิ่นไปสู่พืชเชิงเดี่ยวชนิดต่าง ๆ พื้นที่ของชาวบ้านได้รับการผ่อนปรนให้ใช้ทำกินได้ภายใต้การขออนุญาตของโครงการหลวงจากกรมป่าไม้  ทำให้ชาวบ้านมีความมั่นคงระดับหนึ่งในการทำมาหากินบนที่ดินที่ถูกประกาศให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ และช่วงทศวรรษที่ผ่านมาโครงการหลวงหนองหอยก็มีบทบาทนำในการขับเคลื่อนชุมชนพื้นที่ดังกล่าวไปสู่ระบบเศรษฐกิจการท่องเที่ยว โดยทำให้ภูมิทัศน์ของชุมชนกลายเป็น “แหล่งท่องเที่ยว” แห่งใหม่ที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่  ผลที่ตามมาคือชาวบ้านส่วนหนึ่งหันมาประกอบอาชีพเป็น “ผู้ประกอบการที่พัก” ในที่ดินที่เป็นพื้นที่ทำการเกษตรซึ่งอยู่ภายใต้เงื่อนไขการขอใช้ประโยชน์ของโครงการหลวงหนองหอย การเปลี่ยนมาใช้ประโยชน์จากที่ดินด้วยการปลูกสร้างที่พักนี้เองที่นำไปสู่ความขัดแย้งในภายหลัง

สถานที่ท่องเที่ยวม่อนแจ่ม ภาพ: IMN-เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง ถ่ายโดย: Aafu

พัฒนาการด้านการท่องเที่ยวของม่อนแจ่มมิได้เพิ่งจะเกิดขึ้น แต่ได้รับความสนใจจากเจ้าหน้าที่โครงการหลวงและชาวบ้านมาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2542 – 2548  ห้วงเวลานั้นรายได้ของชุมชนมาจากการปลูกผักส่งให้โครงการหลวงรวมทั้งส่งขายตามตลาดในจังหวัด ผลตอบแทนที่ได้รับไม่คุ้มทุนเสมอไปจนชาวบ้านอยู่ในสภาวะติดหนี้  โครงการหลวงหนองหอยจึงให้ความรู้แก่ชุมชนด้านการท่องเที่ยว มีการจัดกิจกรรม 3-5 ครั้งต่อปี ประกอบด้วย การอบรมให้ความรู้แก่ชุมชนด้านการท่องเที่ยวและการอบรมมัคคุเทศก์ การศึกษาดูงานตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ การประชุมและวางแผนจัดกิจกรรมบริการนักท่องเที่ยวและให้ความรู้แก่ชุมชน ขณะนั้นมีที่พักภายในศูนย์จำนวน 1 หลัง 3 ห้อง และที่พักรอบ ๆ บริเวณศูนย์  ในช่วงที่สอง คือปี พ.ศ.2552 เป็นช่วงสร้างจุดชมวิวดึงดูดการท่องเที่ยวของโครงการหลวงหนองหอย สร้างบนที่ดินทำกินของชาวบ้านรายหนึ่งแล้วโปรโมทผ่านชื่อ “ม่อนแจ่ม” ปรากฏโฉมในรูปแบบแคมปิ้งรีสอร์ทที่กลมกลืนกับธรรมชาติ เต้นท์เล็กพัก 2 คน ราคา 800 บาท ต่อคืน เต้นท์ใหญ่ 4 คน ราคา 1,200 บาท ต่อคืน

วิถีการดำรงชีพที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าว คนนอกชุมชนยอมรับไม่ได้ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ป่าไม้และภาคเอกชนที่มีผลประโยชน์ได้เสีย เกิดความขัดแย้งด้านการใช้ประโยชน์ในที่ดิน ฝั่งชุมชนยืนยันว่าได้รับการคุ้มครองตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 11 พฤษภาคม 2542 คุ้มครองสิทธิชั่วคราวจนกว่าจะมีการพิสูจน์สิทธิในที่ดินแล้วเสร็จ

ชนเผ่าม้ง หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ ที่เดินทางมาร่วมชุมนุมกับสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ณ ศาลากลาง จังหวัดเชียงใหม่ ภาพ: IMN-เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง

ขณะที่ปัญหาในการใช้ประโยชน์ที่ดินผืนเก่ายังไม่จบสิ้น กลับมีระลอกคลื่นลูกใหม่เข้ามาถาโถม คือพระราชกฤษฎีกา โครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยายานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 พ.ศ. 2567 กำหนดให้ผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่โครงการต้องมีที่ดินครอบครองในครัวเรือนไม่เกิน 14 ไร่ และครอบครัวละไม่เกิน 20 ไร่  อีกทั้งยังกำหนดคุณสมบัติต้องห้ามคือต้องไม่มีที่ดินที่ตัวเองเป็นกรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิครอบครองในที่ดินทำกินหรืออยู่อาศัยอื่น ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในความผิดเกี่ยวกับป่าไม้ ไม่เคยถูกพนักงานเจ้าหน้าที่มีคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนสิทธิการอยู่อาศัยหรือทำกินในอุทยานแห่งชาติ  ซึ่งเป็นข้อห้ามที่ขัดกับบริบทสังคมชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธ์ม้ง จึงอาจกลายเป็นระเบิดเวลาความขัดแย้งครั้งใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้

ชนเผ่าม้ง หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ ที่เดินทางมาร่วมชุมนุมกับสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ณ ศาลากลาง จังหวัดเชียงใหม่ ภาพ: IMN-เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง

แต่หากแม้ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ม้งได้สิทธิอยู่อาศัยในพื้นที่ดินของตัวเองแล้วก็ตาม ยังต้องเผชิญกฎเกณฑ์ข้อห้ามอีกมากมายภายใต้กฎหมายฉบับนี้ ยกตัวอย่างการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนแปลงการใช้อาคาร โรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่โครงการ ต้องเป็นไปเพื่อการอยู่อาศัยหรือทำกินเท่าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ อาคาร โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างต้องไม่สูงเกิน 2 ชั้น  แปลความได้ว่าที่ดินของตนเองนั้นใช้ประโยชน์เพื่อทำการเกษตรได้เพียงอย่างเดียว การก่อสร้างอาคารก็เพียงเพื่ออาศัยหรือทำกินเท่าที่จำเป็นแก่การดำรงชีพเท่านั้น อาจหมายความว่าชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ม้งต้องเป็นผู้ที่ต้องทำการเกษตรเท่านั้น ห้ามมีฐานะทางเศรษฐกิจดีทัดเทียมกับบุคคลอื่นในสังคมนี้

29 พ.ย 67 – สมัชชาคนอยู่กับป่า (สชป.) กว่า 5,000 คน เดินทางมาชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ภาพ: Lanner อ่านเพิ่มติม: คลิก

ความโหดร้ายของปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินของชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ม้งที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน และอาจลากยาวไปยังอนาคต ยังไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ว่าคำตอบจะจบลงแบบไหน

คำถามที่สำคัญคืออะไรเป็นสาเหตุหรือองค์ประกอบของปัญหา หรืออาจจำเป็นต้องเริ่มต้นง่ายๆ เพียงแค่สังคมต้องตระหนักให้ได้ว่าปรากฏการณ์นี้คือ “ความขัดแย้ง” มิใช่แค่ “ปัญหาข้อกฎหมาย” จำเป็นต้องใช้หลักวิชาการบริหารจัดการความขัดแย้งมาดำเนินการ แทนการใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หรือไม่ ?

แหล่งที่มา

ม้ง บทความจากเว็ปไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์กรมหาชน) โดย อุไร ยังชีพสุจริต (2566) เข้าถึงได้ที่ https://ethnicity.sac.or.th/database-ethnic/193

รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final report) โครงการศึกษาและประเมินผล โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่โครงการหลวง เสนอ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) โดย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สิงหาคม 2549

หนึ่งตำบล หนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว ม่อนแจ่ม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ โดย วารสาร อบจ.เชียงใหม่ (2553)

เขียน: วิชิต เมธาอนันต์กุล / เรียบเรียง: ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล

หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนจากศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)