“พวกเราต่างมีวิถีชีวิต มีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ช่วยกันรักษา ไม่ได้ทำลาย แต่ทำไมสิ่งที่พวกเราได้รับกลับกลายเป็นความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียมกันของสังคม”
นี่คือภาพรวมที่กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในภาคใต้ทั้ง 6 กลุ่ม ได้แก่ มอแกน มอแกลน อูรักลาโวยจ โอรังอัสลี มานิ และไทดำ ได้สะท้อนให้ผู้คนเห็นถึงปัญหา สถานการณ์ และมุมมองจากสังคมภายนอกที่พวกเขากำลังเผชิญผ่านเวทีสาธารณะภายในงาน “สายน้ำ ทะเล ผืนป่า กับคุณค่าพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ภาคใต้” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 – 23 กรกฎาคม 2568 ณ ชุมชนไทดำ วัดดอนมะลิ ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ถึงแม้ว่าภาคใต้จะมีกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองอย่างน้อย 6 กลุ่มที่มีทั้งกลุ่มที่อาศัยอยู่ริมชายฝั่ง บนเกาะ บนภูเขา และบนพื้นราบ แต่ปัจจุบันยังไม่เป็นที่รับรู้ต่อคนส่วนใหญ่ในภูมิภาคมากนัก ซึ่งความประหลาดใจนี้ได้ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ทำไมการรับรู้ถึงตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในภาคใต้จึงแตกต่างจากภูมิภาคอื่น
“กรอบความคิดและมายาคติของผู้คนในภาคใต้ได้พยายามผสมผสานผู้คนหลากวัฒนธรรม สลายความเป็นเขา ความเป็นเรา ให้กลายเป็น “คนไทย” เพียงกลุ่มเดียว ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของรัฐจึงทำให้คนภาคใต้ส่วนใหญ่มองว่า เราทุกคนไม่ว่าเป็นใครก็ตามที่เกิดและอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทยล้วนเป็นคนไทยทั้งสิ้น และความเป็นไทยเหล่านี้ไม่ได้มีที่ว่างให้กับความเป็นอื่น”
“ภาคใต้ถูกสร้างภาพจำให้เป็นภูมิภาคมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ในสายตาคนทั่วไป แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือภาพจำเหล่านี้โดยเฉพาะในมิติเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวได้ไปกดทับกลุ่มคนตัวเล็ก ๆ ไม่ให้ออกมาส่งเสียงเพื่อบอกถึงความต้องการที่แท้จริงของพวกเขา และกลุ่มคนตัวเล็กที่ว่านี้คือ กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นมาก่อนเกิดรัฐไทย กฎหมายไทย และการพัฒนาประเทศไทย”
สาระสำคัญที่สรุปได้จากการฟังปาฐกถาพิเศษโดย รศ.ดร.ณัฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ จากมหาวิทยาลัยทักษิณ กำลังจะบอกว่า ด้วยอำนาจของรัฐและอิทธิพลจากนโยบายการส่งเสริมเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นเอื้อประโยชน์ให้แก่คนตัวใหญ่ ประกอบกับอคติในความเป็นอื่นที่กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในภาคใต้กำลังเผชิญได้ทำให้พวกเขาแทบจะไม่มีอำนาจต่อรองหรือเจรจากับคนตัวใหญ่เหล่านี้ได้เลย
“ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงต้องเริ่มออกมาส่งเสียงตั้งแต่วันนี้”
1 ใน 6 ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองอย่าง อำนาจ แค้นคุ้ม ชาวไทดำจากอำเภอบ้านนาเดิม จังหวัด
สุราษฎร์ธานี ได้พูดถึงสถานการณ์และความจำเป็นที่ต้องส่งเสียงและเคลื่อนไหวให้ผู้คนในสังคมได้รับรู้ถึงตัวตนและการมีอยู่ของพวกเขาว่า เดิมทีชาวไทดำมีวิถีชีวิตเรียบง่าย รักสงบ และอยู่ร่วมกันอย่างสันติมาโดยตลอด เมื่อเกิดปัญหาหรือความขัดแย้งต่าง ๆ ก็พยายามที่จะไม่นำไปบอกสังคมภายนอก แต่ด้วยสถานการณ์ที่ทำให้ถูกกล่าวหาว่ากลุ่มชาติพันธุ์ ชนเผ่าพื้นเมืองเป็นผู้บุกรุกในสายตาของผู้คนส่วนใหญ่ ทั้ง ๆ ที่ชาวไทดำที่นี่เข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่ก่อนเกิดกฎหมายหรือโครงการเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่รัฐพยายามเอาเข้ามาในพื้นที่ของตนและไล่คนออกจากพื้นที่ ดังนั้น การมีพื้นที่ส่งเสียงในครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การบอกให้รู้ว่าเราคือชาวไทดำ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินไทย แต่ยังบอกให้ได้รู้ถึงมุมมองอีกด้านจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่ผู้คนอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน

“รัฐธรรมนูญบอกว่าคนไทยย่อมมีสิทธิเสรีภาพ แต่ทำไมแค่จะเรียกร้องสิทธิเพื่อปกป้องที่ดินของบรรพบุรุษ รัฐกลับไม่ให้เราทำ”
สลวย หาญทะเล ตัวแทนชาวอูรักลาโวยจจากเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์ของชาวอูรักลาโวยจอีกว่า แม้พวกเขามีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ชัดเจน มีการสืบสานประเพณีชาวเรือตามวิถีดั้งเดิมมาอย่างต่อเนื่อง แต่พอเป็นเรื่องที่ดินทำกินหรือที่อยู่อาศัย รัฐกลับไม่ได้มองกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองว่ามีตัวตนและไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างมีศักดิ์ศรีและเสมอภาค ทำให้ทุกวันนี้พวกเขาต้องเผชิญกับการถูกดำเนินคดีจากข้อพิพาทไล่รื้อที่รวมไม่ต่ำกว่า 100 คดี เธอยังยกตัวอย่างกรณีชาวบ้านบนเกาะหลีเป๊ะที่เสียชีวิตแต่ไม่สามารถฝังศพบนเกาะได้ ต้องข้ามเรือไปฝังที่อีกเกาะหนึ่งซึ่งอาจเสี่ยงต่อพายุฝน

“ทำไมกระบวนการพิสูจน์สิทธิในกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองถึงติดขัดไปหมด ทั้ง ๆ ที่ชุมชนของเราไม่ได้อยู่ไกลเมือง”
ตัวแทนชาวมอแกลนในจังหวัดพังงาอย่าง ประทีป นาวารักษ์ ได้สะท้อนเพิ่มเติมถึงบริบทในชุมชนของตนว่า แม้จะตั้งอยู่ชายฝั่ง ไม่ต้องข้ามเกาะและใกล้เมือง แต่เวลาที่มีชาวบ้านป่วยหนักต้องไปหาหมอ สิ่งที่พบคือการถูกเลือกปฏิบัติจากข้อจำกัดเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาลและการคัดกรองผู้ป่วยตามกระบวนการ ทั้ง ๆ ที่ชาวบ้านบางคนเจ็บป่วยจนต้องนอนร้องครวญคราง แต่คนในเมืองที่เจ็บป่วยเบากว่ากลับได้รับสิทธิเข้ารับการรักษาก่อน ประทีปจึงมองว่านี่คือความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ยังคงมีอยู่จริงหรือไม่

“เพราะถูกผลักให้เป็นคนชายขอบ เราจึงเข้าไม่ถึงสาธารณูปโภคและสวัสดิการขั้นพื้นฐาน”
ไม่เพียงแต่เรื่องสิทธิในที่ดินทำกินและการเข้าถึงสวัสดิการพื้นฐานต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง แต่ยังมีเรื่องสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่าง ถนน ไฟฟ้า ประปา ที่อีกหลายชุมชนยังไม่มีโอกาสเข้าถึงสิ่งจำเป็นเหล่านี้
ก้อย ทะเลลึก ตัวแทนชาวมอแกนจากเกาะพยาม จังหวัดระนอง ได้สะท้อนถึงปัญหาดังกล่าวว่าได้ทำให้เด็ก ๆ ไปโรงเรียนลำบากและเข้าไม่ถึงโอกาสที่จะได้พัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับช่วงวัยและเท่าทันสังคมภายนอก ผลกระทบดังกล่าวจึงทำให้เด็กและเยาวชนมอแกนส่วนใหญ่จบการศึกษาชั้นสูงสุดเพียง ม.3 เนื่องจากโครงสร้างทางสังคมที่ไม่เอื้ออำนวย อีกทั้งชาวบ้านยังมองว่าการออกไปเรียนไกลบ้านอาจต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ากำลังทรัพย์ในครัวเรือน

“ไม่เพียงแต่โครงสร้างทางสังคมที่ทำให้เรามีรายได้และกำลังจ่ายน้อย แต่ยังเกิดขึ้นจากการถูกเอารัดเอาเปรียบด้วย”
นอกจากปัญหาการเข้าไม่ถึงสิ่งจำเป็นต่าง ๆ ในการดำรงชีพแล้ว กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองอีกส่วนหนึ่งยังคงเผชิญกับการถูกเอารัดเอาเปรียบจากการจ้างงาน และการถูกปฏิบัติราวกับว่าตนไม่ใช่มนุษย์ ผัดพริก ตันสกุลฮาราคีรี ตัวแทนชาวโอรังอัสลีได้สะท้อนว่า พวกเขากำลังเจอกับปัญหาที่คล้ายกัน แต่ปัญหาสำคัญที่พบในตอนนี้คือ ชาวโอรังอัสลีจำนวนไม่น้อยที่ไปทำงานรับจ้างถูกนายจ้างโกงค่าแรงหรือเอาเปรียบ เช่น ตอนตกลงกันว่าจะให้ถางหญ้า 5 ไร่ แต่พอทำจริงกลับให้ไถ 10 ไร่ ซึ่งพวกเขารู้ว่าโดนหลอกแต่ไม่อยากโต้เถียงเพราะไม่อยากให้เรื่องบานปลาย

“เพราะโดนไล่ออกจากป่า พวกเขาจึงต้องเปลี่ยนอาชีพเป็นแรงงานรับจ้าง”
ชาวโอรังอัสลีและชาวมานิที่มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่เหมือนกันคือ อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่า ชีวิตประจำวันของพวกเขาใช้ไปกับการเข้าป่าเก็บพืชผักหรือล่าสัตว์เพื่อการยังชีพ แต่เมื่อพวกเขาทั้งสองกลุ่มถูกรัฐเข้ามาไล่ที่ วิถีชีวิตเหล่านี้จึงได้รับผลกระทบต้องสูญเสียไปด้วย
“เขาเรียกพวกเราว่าเงาะเพราะผมหยิก แต่พวกเราคือ “มานิ” ที่แปลว่า “มนุษย์””
ไข่ ศรีมะนัง และ ชัยยุทธ บุญนุ้ย ตัวแทนชาวมานิได้สะท้อนถึงประเด็นนี้ว่าที่ผ่านมาชาวมานิไม่เพียงแต่ถูกกระทำราวกับว่าตนไม่ใช่มนุษย์ แต่ยังถูกตัดสินว่าเป็นผู้บุกรุกทั้ง ๆ ที่ชาวมานิอาศัยอยู่ในเขตป่าบนเขาบรรทัดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว เพียงเพราะพื้นฐานการรับรู้และความเข้าใจต่อสังคมภายนอกที่ตามไม่ทันคนในเมืองจากการถูกชาวบ้านหลอกให้ไปถางป่าเพื่อตั้งที่อยู่อาศัยใหม่ตรงนั้นแทน แต่พอย้ายเข้าไปจริง ๆ กลับถูกรัฐไล่ให้ไปอยู่ที่อื่นที่มีความอุดมสมบูรณ์น้อยกว่า หาของป่า สัตว์ป่าได้น้อยลง เคลื่อนย้ายไม่สะดวกอย่างแต่ก่อน ซึ่งขัดกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวมานิรวมถึงชาวโอรังอัสลีที่ไม่นิยมอยู่เป็นหลักแหล่ง แต่เคลื่อนย้ายตามวัฏจักรห่วงโซ่อาหาร

ไข่ ศรีมะนัง (ซ้าย) ชาวมานิ จ.พัทลุง
ชัยยุทธ บุญนุ้ย (ถือไมค์) พี่เลี้ยง
“พอต้องออกจากป่ายังมีปัญหาเข้าไม่ถึงโครงสร้างพื้นฐาน เท่ากับว่าต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด”
ชัยยุทธเล่าต่อไปอีกว่า ชาวมานิไม่มีการวางแผนชีวิต ทุกอย่างที่หามาได้จากป่าคือการดำรงชีพแบบวันต่อวัน พวกเขาจึงไม่รู้จักการกักตุนอาหาร เพราะมองว่าถ้าอาหารหมดก็สามารถเข้าไปหาใหม่จากในป่าได้เรื่อย ๆ แต่เมื่อวันหนึ่งวิถีชีวิตของพวกเขาถูกทำให้เปลี่ยนไป การมาเริ่มต้นในถิ่นฐานใหม่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเพราะยังเข้าไม่ถึงโครงสร้างพื้นฐาน
“อย่างน้อยที่สุดที่พวกเราต้องการคือ “ที่ทำกิน” “ที่อยู่อาศัย” และ “พื้นที่จิตวิญญาณ” ให้พวกเราได้กลับไปอยู่บนเขาบรรทัด เพื่อพิสูจน์ว่าชาวมานิอยู่กับป่าและไม่ทำลายธรรมชาติ และการสร้างบ้านของพวกเราใช้เพียงไม้เล็ก ๆ มาต่อเป็นเพิงชั่วคราวเท่านั้นเอง”
ข้อมูลเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568
เรื่องและภาพ : รัชชา สถิตทรงธรรม