เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรมีมติเป็นเอกฉันท์ จำนวน 421 เสียง (จาก 425 เสียง) เห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมของวุฒิสภาต่อร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … กฎหมายที่ถูกยกให้เป็น “ก้าวใหม่” ของการยอมรับความหลากหลายทางชาติพันธุ์และหลักสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย แต่ในความเงียบของเสียงปรบมือ กลับมีบางอย่างหายไปอย่างน่ากังวล
คำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง” ถูกลบออกจากกฎหมายฉบับนี้โดยสิ้นเชิง มีเพียงคำว่า “กลุ่มชาติพันธุ์” เท่านั้น การเปลี่ยนแปลงคำนิยามเดียวนี้ อาจดูเล็กน้อยในสายตาคนทั่วไป แต่สำหรับกลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง นักสิทธิมนุษยชน และนักวิชาการด้านชาติพันธุ์ นี่คือการลบสถานะทางกฎหมายของคนทั้งกลุ่มออกจากระบบ พร้อมกับสิทธิที่ควรได้รับการรับรอง
ถ้อยคำที่ตัดออก = สิทธิที่ถูกลบ
คำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง” ไม่ใช่แค่คำเรียกแบบวัฒนธรรมท้องถิ่น หากแต่เชื่อมโยงโดยตรงกับกรอบสิทธิในทางสากล ทั้งจากอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 169 และปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) ซึ่งรับรองสิทธิในการถือครองและจัดการทรัพยากรตามวิถีดั้งเดิม การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และการธำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมือง
การลบคำดังกล่าวออกจากกฎหมายภายในประเทศ จึงไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนนิยาม แต่คือการ ถอยหลังในเชิงสิทธิ ที่ชนเผ่าพื้นเมืองไม่อาจอ้างอิงกลไกและหลักสิทธิสากลเพื่อปกป้องตนเองได้อีกต่อไป แต่เพราะรัฐเลือกที่จะไม่ให้พวกเขามีสถานะ
รัฐไทยไม่ใช่ว่า “ไม่เข้าใจ” คำนี้ แต่ เข้าใจดี จนกลัว เพราะคำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง” พ่วงมาด้วยสิทธิเฉพาะที่รัฐไม่สามารถคืนสิทธิ์ให้พวกเขาได้ง่าย การที่รัฐปฏิเสธคำนี้ จึงไม่ใช่เรื่องภาษา แต่ไม่ต้องการยอมรับความหลากหลายในฐานะ “สิทธิ” แต่ต้องการจำกัดมันให้เหลือเพียง “สีสันวัฒนธรรม” หรือเปล่า
รัฐไทยมักอ้าง “ความมั่นคง” เป็นเหตุผลสำคัญในการไม่รับรองการมีอยู่จริงของ “ชนเผ่าพื้นเมือง” โดยอ้างว่าการให้สิทธิบางอย่าง อาจสั่นคลอนความเป็นเอกภาพของรัฐชาติ แต่คำถามคือ: ความมั่นคงของใคร? เพราะสำหรับชนเผ่าพื้นเมืองนั้น ความมั่นคงคือ การไม่ต้องถูกขับไล่ออกจากที่ดินหรือถิ่นที่อยู่อาศัย ความมั่นคงคือ การที่ลูกหลานพูดภาษาของตนได้โดยไม่ถูกกลืน และความมั่นคงคือ การที่ตนเองมีสิทธิตัดสินใจในเรื่องที่ส่งผลต่อวิถีชีวิต
หาก “ความมั่นคง” ต้องแลกกับการลบตัวตนของผู้คน นั่นไม่ใช่หลักการประชาธิปไตย แต่คืออำนาจนิยมที่แต่งตัวด้วยวาทกรรมความชอบธรรม
ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่รัฐไม่เข้าใจ “ชนเผ่าพื้นเมือง” ตราบใดที่รัฐยังยึดอุดมการณ์ “ไทยเดียว” และผลิตซ้ำความเป็นไทยแบบเดียวที่เป็นอุดมคติ เมื่อนั้น ชนเผ่าพื้นเมืองจะยังคงถูกมองว่า “ไม่ใช่ประชาชนไทยเต็มตัว”
โอกาสในวิกฤต: การยืนยันตัวตน
แม้รัฐไทยจะยังไม่ยอมรับตัวตน “ชนเผ่าพื้นเมือง” อย่างเป็นทางการ แต่วิกฤตนี้กลับเปิดโอกาสสำคัญให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้ลุกขึ้นมายืนยันตัวตน และร่วมกันขับเคลื่อนกฎหมาย คือ พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ให้เป็นเครื่องมือที่ตอบสนองต่อบริบทและความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง ด้วยพลังจากการจัดการตนเองในระดับฐานราก การรวมตัวของเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมือง และการสร้างพันธมิตรกับภาคประชาสังคม ชนเผ่าพื้นเมืองได้สร้างแรงสนับสนุนที่เข้มแข็งทั้งในระดับประเทศและเวทีนานาชาติ ขณะเดียวกัน สื่อและเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนภาพจำของสังคมไทยที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์ สร้างความเข้าใจใหม่และความชอบธรรมในการเรียกร้องสิทธิในดำรงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และทรัพยากรของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น กระแสความตื่นตัว ตระหนักรู้ และความรู้สึกเป็นเจ้าของของคนในชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นไปตามหลักเจตนารมย์ของกฎหมายฉบับนี้ ก็ยิ่งเสริมพลังการมีส่วนร่วมให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคจากโครงสร้างรัฐที่รวมศูนย์และทัศนคติเชิงลบต่อความหลากหลายทางชาติพันธุ์หรือสังคมพหุวัฒนธรรมของประเทศไทย แต่หากชนเผ่าพื้นเมืองสามารถรักษาความเข้มแข็งภายในและขยายแนวร่วมได้อย่างต่อเนื่อง โอกาสในการขับเคลื่อนกฎหมายฉบับนี้ให้ตอบสนองการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมืองในกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ก็อยู่ไม่ไกล และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสู่สังคมไทยที่ยอมรับความหลากหลายอย่างแท้จริง
นิตยา เอียการนา
กรรมาธิการฯ สัดส่วนภาคประชาชน