กะเหรี่ยงโผล่วลุ่มน้ำลําตะเพิน บนแผ่นดินแห่งการถูก (ผิด) สัญญา

            กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่วลุ่มน้ำลําตะเพิน อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ถือเป็นกลุ่มคนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินบริเวณนี้มานานกว่า 320 ปี แต่การเข้ามาของการประกาศพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2505 ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่วกลุ่มนี้ จากผู้อยู่อาศัยกับป่ากลายเป็นผู้บุกรุก

“พวกเขาย้ายเราลงมา และให้สัญญาว่าจะจัดพื้นที่ให้”

ยุพิน งามยิ่ง ชาวบ้านกะเหรี่ยงหมู่บ้านป่าผาก ลุ่มน้ำลําตะเพิน กล่าวในขณะที่เธอกำลังเตรียมพื้นที่สำหรับฤดูกาลเพาะปลูกข้าวไร่ที่กำลังจะมาถึงในเดือนพฤษภาคม จากวิถีชีวิตรุ่นพ่อแม่ของเธอที่อยู่กับการทำไร่หมุนเวียน วันนี้รัฐจัดสรรที่ดินให้กับชาวกะเหรี่ยงบ้านป่าผาก 15 ครัวเรือน 106 ไร่ โดยสนับสนุนให้พวกเขาแบ่งที่ดินทำกินปลูกพืชเชิงเดี่ยวหรือผลไม้เศรษฐกิจ แต่ชาวกะเหรี่ยงกลุ่มนี้ยืนยันว่าพวกเขาต้องการอนุรักษ์วิถีชีวิตดั้งเดิมในการใช้ที่ดินร่วมกัน และยืนหยัดการทำไร่หมุนเวียน

“แม่กินทุกเรียนแทนข้าวไม่ได้” ยุพินกล่าว โดยเธอมักใช้สรรพนามแทนตัวเองว่าแม่ “แม่ไม่ได้ต้องการที่ดินใหญ่โต ขอแค่ 2-3 ไร่ในการทำไร่หมุนเวียนแต่ละครั้งก็พอแล้ว มากกว่านี้เราทำกันไม่ไหวกันหรอก”

ยุพิน งามยิ่ง กำลังเตรียมพื้นที่ที่ผ่านการพักฟื้นมา 3 ปีในไร่หมุนเวียน

วันนี้ชาวกะเหรี่ยงโผล่วลุ่มน้ำลําตะเพิน 3 หมู่บ้านอันได้แก่ บ้านป่าผาก, บ้านกล้วย, และบ้านห้วยหินดำ ได้ร่วมมือกันในการปกป้องสิทธิในวิถีชีวิต และการทำกินของพวกเขา ผ่านการพิสูจน์ให้สังคมภายนอกได้เห็นจากคำสอนของชาวกะเหรี่ยงที่ว่า ‘อยู่กับป่าก็รักษาป่า กินน้ำต้องรักษาน้ำ เพราะกะเหรี่ยงอยู่ที่ไหนป่าก็อยู่ที่นั่น ป่าอยู่ที่ไหนกะเหรี่ยงก็อยู่ที่นั่น’

ลุ่มน้ำลำตะเพินแผ่นดินแห่งสัญญา

งานศึกษาประวัติและความเป็นมา ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงลุ่มน้ำลำตะเพิน ของผ.ศ.ดร.วรวิทย์ นพแก้ว และนักศึกษาสาขาวิชารัฐศาสตร์  คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ได้ระบุว่า กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงได้อาศัยอยู่ผืนป่าตะวันตกมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893 – พ.ศ. 2310)

โดยในสมัยรัชกาลที่ 5 พื้นที่บริเวณนี้อยู่ในเขตมณฑลนครชัยศรี ที่ประกอบด้วยเมืองสุพรรณบุรี เมืองสมุทรสาคร และเมืองนครไชยศรี จนกระทั่งการเกิดขึ้นของรัฐชาติสมัยใหม่ ช่วงพ.ศ. 2475 ได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เชิงอำนาจใหม่ระหว่างผู้คนกับพื้นที่

“สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 มีการรวมผู้คนบริเวณนี้เข้าไปในรัฐชาติ และให้เป็นพื้นที่แห่งสัญญา ที่ผู้ปกครองประกาศว่าเป็นพื้นที่คุ้มครอง ที่ไม่ควรไปรบกวนชนเผ่าพื้นเมืองที่อยู่ในพื้นดั้งเดิม แต่ให้พวกเขาดูแลบ้านของตัวเอง”

ผ.ศ.ดร.วรวิทย์กล่าว พร้อมอธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมเริ่มเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2505 ได้มีการประกาศพื้นที่ป่าสงวน 330,625 ไร่ ซึ่งทับซ้อนกับพื้นที่ทำกินของชาวกะเหรี่ยงโผล่วลุ่มน้ำลําตะเพินทั้งหมด ก่อนที่ พ.ศ. 2516 – 2532 รัฐได้ให้เอกชนสัมปทานทำไม้ในพื้นที่ป่าจำนวน 180,000 ไร่ โดยบริษัท สุพรรณบุรีทำไม้ จำกัด

อย่างไรก็ดีแม้จะมีนโยบายยกเลิกสัมปทานทำไม้ในพื้นที่ป่าตั้งแต่ปีพ.ศ. 2532 แต่กรมป่าไม้ได้ให้อนุญาตเอกชน เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวน ในพื้นที่ที่เคยเป็นพื้นที่ทำกินดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยง จำนวน 1,832 ไร่ โดยให้สัญญาไปจนถึง 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2595 (สัญญา 30 ปี)

ไม่เพียงเท่านั้น ยุพินได้เล่าว่าในปีพ.ศ. 2539  กรมปศุสัตว์ได้เข้ามาขอใช้พื้นที่ 1,290 ไร่ สร้างสถานีอาหารสัตว์สุพรรณบุรี โดยขอให้ชาวกะเหรี่ยงออกจากพื้นที่ทำกินของตัวเอง และจัดสรรที่ดินทำกินใหม่ให้กับพวกเขา

“เขาปล่อยให้ชาวบ้านไปแผ้วถางทำไร่ในพื้นที่ใหม่ แต่อยู่ได้ไม่ถึงปีเขาบอกว่าอยู่ไม่ได้แล้วจะนำพื้นที่ไปทำอ่างเก็บน้ำ”

ด้านซ้ายของภาพคือพื้นที่อ่างเก็บน้ำองค์พระ ส่วนพื้นที่ทางด้านขวานั้นยุพินกล่าวว่าเคยเป็นหมู่บ้านเก่าของชาวกะเหรี่ยงบ้านป่าผาก

โครงการอ่างเก็บน้ำองค์พระโดยกรมชลประทาน ได้รับพื้นที่จากกรมป่าไม้ 350 ไร่ในปีพ.ศ. 2540 เพื่อจัดสร้างเขื่อนชลประทานขนาดเล็ก ยุพินเล่าว่าจากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ชาวกะเหรี่ยงบ้านป่าผาก กระจัดกระจายไปอยู่อาศัยกับญาติที่ จ.กาญจนบุรี, จ.อุทัยธานี, รวมทั้งเข้าไปอยู่ในเมือง

ชาวกะเหรี่ยงบ้านป่าผาก กำลังโดยสารรถกระบะผ่านพื้นที่ทั้งสองฝั่งที่เคยเป็นที่ดินทำกินของพวกเขา แต่ปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่สถานีอาหารสัตว์สุพรรณบุรี

15 ครัวเรือนกะเหรี่ยงรุ่นสุดท้ายของบ้านป่าผาก

“ตอนนั้นแม่ตัดสินใจไม่ย้ายไปไหน แต่ออกมาสู้ครั้งแรก”

ยุพินในวันนี้วัย 54 ปี กลายเป็นผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง ผ่านร่องรอยการต่อสู้ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา เธอกล่าวว่าเหตุผลที่ผู้หญิงกะเหรี่ยงลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ เพราะว่าผู้ชายที่ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวมักถูกทำร้ายจากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ยุพินจึงลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวนับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541 หลังการถูกประกาศพื้นที่ให้เป็นอุทยานแห่งชาติพุเตย ทับซ้อนที่ดินทำกินของชาวกะเหรี่ยงอีกครั้ง

“อยู่ก็ตายสู้ก็ตายงั้นสู้ดีกว่า ขอสู้กับอำนาจรัฐ สู้กับนโยบายที่ไม่เป็นธรรมกับพวกเรา”

1 ปีให้หลังจากการประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ตัวแทนชาวบ้านป่าผากได้ร้องเรียนไปยังศาลปกครอง จนกระทั่งมาถึงปี พ.ศ. 2548 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เข้าดูพื้นที่จนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ สามารถตกลงกันได้ และได้อนุมัติให้ชาวบ้านป่าผากได้ใช้ประโยชน์บนที่ดินจำนวน 106 ไร่

สุรศักดิ์ ชาวบ้านกร่าง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลวังยาว ที่ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนหมู่บ้านห้วยหินดำ ในวันดังกล่าวที่ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ได้ระบุว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐต้องพยายามรักษาสมดุลระหว่างการที่ทำให้ชาวบ้านอยู่ได้ และทรัพยากรธรรมชาติอยู่รอด เขามองว่าบางหน่วยงานของรัฐคำนึงถึงทรัพยากรธรรมชาติ จนลืมนึกถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ที่อาศัยอยู่กับทรัพยากรธรรมชาติมาแต่ไหนแต่ไร

“ไร่คือชีวิต เราต้องอยู่กับป่าไม้ที่พึ่งพิงกัน การให้ที่ดินชาวบ้านเป็นแปลงๆ ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตการทำไร่หมุนเวียนของพวกเรา”

ลัดดาวัลย์ ปัญญา ผู้นำชาวกะเหรี่ยงลุ่มน้ำลําตะเพินอีกหนึ่งคน ที่มักปรากฏตัวเคียงคู่กับยุพิน เธอเป็นคนที่พยายามเผยแพร่ และสร้างความเข้าใจต่อคนภายนอกที่มีภาพจำต่อไร่หมุนเวียนว่าคือไร่เลื่อนลอย ซึ่งสำหรับเธอนั้น การมีอยู่ของไร่หมุนเวียนคือการมีอยู่ของป่า

“มีป่าต้องมีไร่หมุนเวียน มีไร่หมุนเวียนต้องมีคนจะแยกออกจากกันไม่ได้ อย่ามาแยกพวกเราออกจากป่าเลย”

ลัดดาวัลย์ ปัญญา กำลังอธิบายรูปแบบการใช้งานพื้นที่ไร่หมุนเวียน โดยเฉดสีที่ต่างกันนั้น หมายถึงรูปแบบการใช้พื้นที่ที่แตกต่างกันออกไป

ลัดดาวัลย์กล่าวต่อว่าไร่หมุนเวียนไม่ใช่ภาพภูเขาหัวโล้น เหมือนภาพจำที่คนไทยเคยได้รับจากในแบบเรียน แต่ภาพการทำไร่หมุนเวียนที่มีการใช้พื้นที่เป็นหย่อมๆ นั้น คือการพักฟื้นพื้นที่ให้กลับอุดมสมบูรณ์อีกครั้งในช่วงระยะเวลา 3-7 ปี ที่ชาวกะเหรี่ยงจะปล่อยพื้นที่ให้ป่าฟื้นสภาพ หรือที่ภาษากะเหรี่ยงเรียกว่า ‘ไร่เหล่า’

“ข้าวเราปลูกปีละครั้ง ส่วนที่เหลือปลูกแตง, พริก, ถั่วฝักยาว, ถั่วพู ถ้ากินไม่หมดก็แบ่งให้เพื่อนบ้าน”

ลัดดาวัลย์กล่าวขณะที่เธอกำลังเดินเก็บพืชผักในที่ดินแปลงรวม 106 ไร่ของชาวกะเหรี่ยงบ้านป่าผาก พร้อมกับคำยืนยันว่าวิถีชีวิตดั้งเดิมแบบชาวกะเหรี่ยงนั้น ไม่เห็นด้วยกับนโยบายให้ที่ดินหนึ่งแปลง และให้ทำกินในที่เดิมไปตลอด แต่พวกเขาต้องการการใช้กรรมสิทธิ์ร่วมกันในชุมชน รวมทั้งต้องการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐ

นโยบายให้ที่ดินหนึ่งแปลง บนความพยายามให้ป่าปลอดคน

“การที่รัฐมีโครงการให้เรายินยอมเช่าที่ดิน 20 ปีครอบครัวละ 20 ไร่ มันไม่ต่างจากที่พวกเราเคยโดนมา พาเราไปอยู่ที่หนึ่งและวันหนึ่งก็จะจัดการเรา แล้ววิถีชีวิตเราจะอยู่อย่างไร ถูกห้ามทำนู่นทำนี่ ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของเขาเหมือนกับการอยู่ในคุก”

พื้นที่สัมปทานแก่บริษัทเอกชน เข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 จนถึงปี พ.ศ. 2595

ไม่ต่างจากลัดดาวัลย์ ยุพินไม่เห็นด้วยกับแนวคิดร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ และภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ซึ่งอนุญาตให้ประชาชนดั้งเดิมในพื้นที่ทับซ้อนกับพื้นที่อนุรักษ์ สามารถเข้าร่วมโครงการทำกินในพื้นที่ชั่วคราวไม่เกิน 20 ปี จำนวน 20 ไร่ต่อครัวเรือน ยุพินมองว่าถ้ารัฐอยากจะอนุรักษ์พื้นที่ทรัพยากรธรรมชาติ ควรที่จะเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ดั้งเดิม โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับธรรมชาติ ได้มีโอกาสอนุรักษ์ทรัพยากรร่วมกันด้วย

“แม่ทำแผนที่วัฒนธรรมขึ้นมาเป็นโมเดลที่แม่ฝันอยากทำ ในพื้นที่นี้เราจะแบ่งเป็นป่าใช้สอย ป่าพิธีกรรม ป่าอนุรักษ์ และพื้นที่ทำกินอยู่อาศัย”

แผ่นที่วัฒนธรรมม่องฆึ้ยง์ที่ชาวบ้าน

ยุพินกล่าวพร้อมชี้ไปที่แผ่นที่วัฒนธรรมม่องฆึ้ยง์ที่ชาวบ้านจัดทำขึ้นมา โดยในแผ่นที่ดังกล่าวแบ่งเป็นป่าใช้สอย 200 ไร่, ป่าพิธีกรรม 10 ไร่, พื้นที่ไร่หมุนเวียน 180 ไร่, ป่าอนุรักษ์ 62 ไร่, พื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัย 106 ไร่ โดยทั้งหมดถูกเรียกชื่อว่าแนวเขตพื้นที่เชิงวัฒนธรรม 558 ไร่

 ภาพดังกล่าวเป็นภาพฝันที่ชาวกะเหรี่ยงโผล่วลุ่มน้ำลำตะเพินหวังว่ารัฐจะมองเห็น และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ดูแลป่าพร้อมๆ กันกับการทำไร่หมุนเวียน ที่อยู่ร่วมกับวิถีชีวิตของพวกเขามาหลายชั่วอายุคน เพราะสำหรับชาวกะเหรี่ยงแล้วนั้น การดูแลป่าถือเป็นหนึ่งความอยู่รอดของชีวิตพวกเขา

บริเวณชุมชนบ้านห้วยหินดำ ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ โดยต้นไม้หลังยุพินนั้นคือต้นยางนา ที่ชาวบ้านกล่าวว่ามีอายุมากกว่า 100 ปี

หลังจากเสร็จสิ้นการพูดคุยกับยุพินและลัดดาวัลย์ เธอได้พาชมพื้นที่โดยรอบ นับตั้งแต่พื้นที่สถานีอาหารสัตว์สุพรรณบุรีที่มีรั้วรอบขอบชิด เพื่อป้องกันไม่ให้คนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่อาหารสัตว์ ไม่ไกลกันก็เป็นอ่างเก็บน้ำองค์พระ ที่ยุพินชี้ให้เห็นพื้นที่รกชัฏน้ำท่วมขังที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหมู่บ้านของเธอ และสถานที่สุดท้ายคือพื้นที่ไร่รวม 106 ไร่ของชาวกะเหรี่ยงบ้านป่าผากทั้ง 15 ครอบครัว ที่ภายในเต็มไปด้วยผักผลไม้ท้องถิ่น และพื้นที่ป่าที่เกิดจากการพักที่ดินจากการทำไร่หมุนเวียน ไม่ไกลจากกันนั้นเป็นพื้นที่โล่ง 1,832 ไร่ที่ทางกรมป่าไม้ได้ให้สัมปทานแก่บริษัทเอกชน เข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติเพื่อทำการเกษตรแบบผสมผสาน

ชาลี งามยิ่ง ชาวกะเหรี่ยงโผล่วลุ่มน้ำลําตะเพิน โดยด้านหลังของเขาคือพื้นที่ไร่รวม ที่ชาวบ้านปลูกพืชผลเช่น มะละกอ, อะโวคาโด, ทุเรียน ไว้สำหรับแบ่งปันกัน
เมล็ดพันธุ์พืชผักพื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยงโผล่วลุ่มน้ำลําตะเพิน พวกเขาพยายามอนุรักษ์พันธุ์พืชผักพื้นบ้านแทนการใช้เมล็ดพันธุ์จากภายนอก
พืชผักภายในไร่หมุนเวียนที่ชาวกะเหรี่ยงเก็บเกี่ยวสำหรับใช้บริโภครายวัน
พริกกะเหรี่ยง รสชาติเผ็ดจัดจ้านถือเป็นส่วนประกอบหนึ่งของเมนูน้ำพริก ที่ชาวกะเหรี่ยงนำมาใช้ปรุงอาหารให้สำหรับผู้สื่อข่าวที่ลงพื้นที่
เยาวชนกะเหรี่ยงโผล่วลุ่มน้ำลําตะเพิน กำลังทำการแสดง ‘รำตง’ โดยเป็นการแสดงเพื่อยกหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาแบบฉบับของคนกะเหรี่ยง

บทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรี่ย์ ‘คนในป่าอยู่ร่วมกับการอนุรักษ์ป่าได้หรือไม่’

โดยเครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง-IMN