พ.ร.ฎ.ป่าอนุรักษ์ กฎหมายเปลี่ยนคนอยู่กับป่า กลายเป็นผู้บุกรุก

“คุณไม่มีทางไล่คนออกไปจากบ้านเขาได้หรอก นอกจากต้องฆ่าเขาให้ตายเสียหมดก่อน”

เสียงจากพ่อหลวง สมชาย ยังสันติวงศ์ ชาวม้งจาก ต.ปางหินฝน อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ที่กล่าวถึงนโยบายการอนุรักษ์ป่าที่พยายามไล่คนออกจากป่า หรืออยู่อาศัยได้อย่างยากลำบากขึ้น

หากจะทำความเข้าใจความเป็นมาของนโยบายป่าไม้ของประเทศไทย ต้องเริ่มต้นจากความเข้าใจที่ว่า พื้นที่ป่าในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าฝนเขตร้อน ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ทำให้มีคนท้องถิ่นดั้งเดิมอาศัยอยู่ก่อนการเกิดขึ้นของนโยบายป่าไม้

นโยบายป่าไม้แรกเริ่มของไทยปรากฏข้อมูลช่วงปี พ.ศ. 2496 เริ่มมีการเปิดให้สัมปทานป่า อนุญาตให้เอกชนเข้าไปหาประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจกับป่าไม้ ทำให้คนดั้งเดิมที่อยู่กับป่าเริ่มได้รับผลกระทบจากการถูกขับไล่ออกจากที่ดินทำกิน

ผลกระทบของนโยบายสัมปทานป่าลุกลามเป็นวงกว้างในช่วงปี พ.ศ. 2531 เกิดเหตุการณ์อุทกภัยและดินถล่มอย่างรุนแรงในหลายจังหวัด นำไปสู่การรณรงค์ของนักวิชาการและประชาชนให้ยกเลิกการสัมปทานป่าทั่วประเทศ

หลังจากนั้นนโยบายที่เข้ามาแทนที่คือการอนุรักษ์ มีนโยบายป่าไม้แห่งชาติ พ.ศ. 2532 โดยมีนโยบายให้มีพื้นที่ป่ามากกว่า 40% ของประเทศ แบ่งเป็นป่าอนุรักษ์ 25% และป่าเศรษฐกิจ 15%

โดยในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 25% นั้นคิดเป็นพื้นที่ 80 ล้านไร่ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติ, วนอุทยาน, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า, เขตห้ามล่าสัตว์ป่า, สวนพฤกษศาสตร์, และสวนรุกขชาติ โดยปัจจุบันทำสำเร็จคิดเป็นพื้นที่ 74.25 ล้านไร่ และยังขาดอีก 6 ล้านไร่ เพื่อที่ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว

“ชาวบ้านจากเคยเป็นผู้อยู่อาศัยจึงกลายเป็นผู้บุกรุก ความขัดแย้งเริ่มเกิดขึ้นนับตั้งแต่การประกาศนโยบายอนุรักษ์ป่า”

ประยงค์ ดอกลำไย ผู้อำนวยการมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ และที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) ได้เล่าประวัติความเป็นมา อันเป็นที่มาของความขัดแย้งในปัจจุบัน ที่ทางคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดการพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 2 ฉบับ อันนำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่รัฐที่กลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง เมื่อฝ่ายหนึ่งต้องการบรรลุเป้าหมายของตนเอง และอีกฝ่ายต้องการยืนยันสิทธิในที่ดินของตน

ประยงค์ ดอกลำไย ผู้อำนวยการมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ และที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) 

ทำไมคนในพื้นที่ป่าถึงไม่ยอมรับพ.ร.ฎ.ป่าอนุรักษ์

“ผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ (พ.ร.ฎ.ป่าอนุรักษ์) เขาจะมาอนุญาตให้เราอยู่อาศัยได้แค่ 20 ปี เจตนาชัดเจนว่าต้องการไล่คนออกมาจากพื้นที่ป่าอุทยานภายใน 20 ปี”

สมชาย ยังสันติวงศ์ ชาวม้งจาก ต.ปางหินฝน อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่

พ่อหลวงสมชายมองว่านโยบายนี้ไม่เป็นธรรมสำหรับตัวเขา และชาวบ้านคนอื่นๆ ที่อยู่อาศัยทำกินในพื้นที่มาแต่บรรพบุรุษ เขากล่าวว่าเมื่อ  40 ปีที่แล้วรัฐออกนโยบายสัมปทานจนไม่เหลือพื้นที่ป่า หลังจากนั้นเป็นชาวบ้านในพื้นที่ที่ช่วยกันฟื้นฟูป่าขึ้นมา มาวันนี้รัฐต้องการพื้นที่คืนอีกครั้งเพราะบอกว่าต้องการอนุรักษ์

“วันนี้ป่าสมบูรณ์แล้วก็มาประกาศพื้นที่อนุรักษ์ จะมาไล่ชาวบ้านออก ทั้งที่เราช่วยเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ป่า ทำแนวกันไฟป่าตลอดทุกปี” พ่อหลวงสมชายกล่าว

ทางด้านประยงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ ได้อธิบายที่มาของพ.ร.ฎ.ป่าอนุรักษ์ว่า เริ่มต้นขึ้นในสมัยคณะรัฐประหาร พ.ศ. 2557 มีนโยบายทวงคืนผืนป่า โดยใช้คำสั่งคสช. ที่ 64/2557 ปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ มีคดีความเกิดขึ้น 57,000 คดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน จนท้ายที่สุดจึงมีคำสั่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปดำเนินการแก้ไข พรบ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 จนได้พรบ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ขึ้นมา

“พรบ.ออกมาภายใต้รัฐบาลคสช. ที่ไม่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตย จึงไม่มีสภาผู้แทนราษฎรที่ยึดโยงกับประชาชน”

ประยงค์อธิบายต่อว่า แนวคิดของพรบ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 คือการอนุญาตให้คนอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ได้ชั่วคราวโดยมีกฎหมายรับรอง ซึ่งถูกระบุไว้ในมาตรา 64, 65 และ 121

ประยงค์ ดอกลำไย ผู้อำนวยการมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ และที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) 

โดยในมาตรา 65 ระบุว่า กำหนดให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ ทำการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถเกิดใหม่ทดแทนได้ในอุทยานแห่งชาติ และจัดทำโครงการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนที่จะต้องมีระยะเวลาไม่เกิน 20 ปี

“เขาต้องการให้คนในพื้นที่ไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ใดๆ จากป่าได้ถ้าคุณยังอยู่ตรงนั้น” ประยงค์กล่าวสรุป

โดยหลังจากการสำรวจพบว่า มีชุมชนที่อยู่ทับซ้อนในเขตป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ 4,042 หมู่บ้าน 314,784 คน จำนวนเนื้อที่ 4.27 ล้านไร่ หลังจากนั้นทางกรมอุทยานแห่งชาติฯ ในแต่ละพื้นที่จึงเริ่มจัดทำโครงการเพื่อให้ชาวบ้านยอมรับนโยบายดังกล่าว ที่จะให้สิทธิในการใช้ที่ดินชั่วคราว 20 ปี นำมาซึ่งกระแสการคัดค้านจนเกิดการรวมตัวกันขึ้นของสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า เพื่อเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการประกาศเพิ่มพื้นที่ พ.ร.ฎ.ป่าอนุรักษ์ หลังจากที่มีการประกาศไปแล้ว 120 กว่าโครงการทั่วประเทศ

โดยข้อเรียกร้องของสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า ที่มีการจัดชุมนุมใหญ่ที่หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เรียกร้องให้ยุติการดำเนินการใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตคนในพื้นที่ และให้มีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาแก้ไขกฎหมาย รวมทั้งชะลอการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ 23 แห่งเพิ่มเติมไปก่อน

“กฎหมายต้องคืนสิทธิให้กับประชาชน ถ้าพิสูจน์ว่าพวกเขาอยู่มาก่อนการประกาศพื้นที่อนุรักษ์ ไม่ใช่เป็นการอนุญาตชั่วคราวแบบนี้”

ประยงค์ยืนยันเจตนารมณ์ของเขา ภายใต้ข้อเสนอที่อยากให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ ทบทวนเป้าหมายพื้นที่ป่า 40% ทั่วประเทศ ว่าจะมีแนวทางอย่างไรให้คนสามารถอยู่ร่วมกันกับป่าได้ เพราะผลกระทบของนโยบายปัจจุบัน เป็นการบีบบังคับให้คนในท้องถิ่นกำลังสูญเสียที่ดินทำกิน และทำให้เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ในพื้นที่ทำงานลำบากยิ่งขึ้น

ป่าได้อนุรักษ์-คนได้อยู่ร่วมกับป่า ทางออกที่มีร่วมกัน

“การทำงานของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ในพื้นที่ที่ทำงานกับชุมชนมาตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์มีแนวโน้มดีขึ้น แต่พอกฎหมายนี้ออกมา สิ่งที่เจ้าหน้าที่พยายามทำทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมาแทบจะสูญเปล่า”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อกำหนดเรื่องการอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ โดยอนุญาตให้ประชาชนครอบครัวละไม่เกิน 20 ไร่ อยู่อาศัยทำกินในระยะเวลา 20 ปี สร้างความกังวลใจให้กับทุกฝ่าย รวมทั้งอรยุพา  สังขะมาน เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ที่ได้ยื่นจดหมายไปถึงอธิบดีกรมอุทยานฯ และประธานคณะกรรมการที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อขอให้รัฐทบทวนเนื้อหาในร่างพระราชกฤษฎีกาป่าอนุรักษ์ ที่บางส่วนก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม และเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ

“เจ้าหน้าที่ในบางพื้นที่พูดกับเราว่า ‘ไม่กล้าสู้หน้ากลับเข้าไปทำงานกับชุมชน’ นโยบายนี้กำลังทำให้เกิดความลำบากกับชุมชน รวมทั้งความลำบากใจต่อตัวผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก”

อรยุพาอธิบายจากการได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ในพื้นที่ว่า เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ได้รับมอบหมายให้ไปสำรวจพื้นที่ภายใน 240 วัน ในตอนแรกชาวบ้านให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยที่ทั้งเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน ไม่ได้ทราบรายละเอียดที่แท้จริงว่า การสำรวจดังกล่าวคือการให้สิทธิในที่ดินชั่วคราวแก่ชาวบ้านครอบครัวละ 20 ไร่

โดยทางมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ขอให้มีการทบทวนพระราชกฤษฎีกาป่าอนุรักษ์อีกครั้ง โดยในตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการรับฟังความคิดเห็น อรยุพาเน้นย้ำว่า ชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่อการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ของตนเอง

“เราทำงานกับชุมชนเป็นร้อยแห่งในพื้นที่ป่าตะวันตก เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าชุมชนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างมีกฎกติกาที่เป็นที่ยอมรับร่วมกัน”

อย่างไรก็ดีอรยุพาสรุปในตอนท้ายว่า เมื่อมีชุมชนที่อยู่ร่วมกับป่า ภายในชุมชนย่อมมีทั้งคนที่ปฏิบัติตามกฎและไม่ปฏิบัติตาม เธอจึงมองว่าควรมีกฎกติการ่วมกัน รวมทั้งมีบทลงโทษสำหรับคนที่ไม่ได้ทำตามกติกา เพราะหากมองตามรายละเอียดของพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ยังคงมีข้อดีอยู่บ้างตรงที่มีรายละเอียดยอมรับการมีอยู่ของผู้คนในพื้นที่ป่า แต่สิ่งที่เธอไม่เห็นด้วยคือกฎหมายลำดับรอง (กฎหมายลูก) ที่ควรให้เกิดการพูดคุยร่วมกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการออกพระราชกฤษฎีกา เพื่อให้คนสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งเคารพทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า

ทางด้านศักดิ์สิทธิ์ ขุนณรงค์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาปู่ – เขาย่า ได้ให้ข้อมูลว่าหลังการสำรวจพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่ – เขาย่า พบที่ดินทำกินประมาณ 20,000 แปลง ใน 114 หมู่บ้าน ในสามจังหวัดพัทลุง, นครศรีธรรมราช, และตรัง

ในฐานะเจ้าหน้าที่เขามีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้กับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่อย่างทั่วถึง แต่ด้วยทรัพยากรที่จำกัดทั้งกำลังคนและเครื่องมือ ทำให้การปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความลำบาก

“การแก้ไขปัญหาต้องให้คนสามารถอยู่กับป่าได้ตามกฎระเบียบโดยไม่ถูกจับกุมดำเนินคดี” ศักดิ์สิทธิ์กล่าวหลักทำงานของเขา “มันมีประโยชน์ด้วยซ้ำกับการมีคนเหล่านี้อยู่ พวกเขาช่วยรักษาปกป้องทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ ช่วยเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ ถ้าพวกเขาสามารถอยู่ได้อย่างถูกต้องและมีความชอบธรรม”

ศักดิ์สิทธิ์มองว่าแนวทางการแก้ไขปัญหากำลังดำเนินมาในทิศทางที่ดีขึ้น เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องพื้นที่ทำกินของประชาชนที่ทับซ้อนกับพื้นที่อนุรักษ์ โดยการกำหนดระยะเวลาการใช้สิทธิในที่ดิน 20 ปี ตามความเข้าใจของศักดิ์สิทธิ์นั้น มองว่าเป็นการให้คราวละ ไม่ใช่การสิ้นสุดที่ 20 ปี

ดังนั้นหนึ่งในสิ่งที่ต้องสื่อสารให้ชัดเจนระหว่างคนออกนโยบาย ผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ มีความจำเป็นต้องระบุให้แน่ชัดว่าการให้สิทธิในที่ดินแก่ประชาชนที่อยู่อาศัยดั้งเดิมในพื้นที่ทับซ้อนกับพื้นที่อนุรักษ์นั้น เป็นการให้ในรูปแบบใดและมีเงื่อนไขอย่างไร เพื่อให้เกิดความรู้สึกมั่นคง ต่อชีวิตวันข้างหน้าของประชาชน

“เราไม่ต้องการโฉนดที่ดิน ชาวบ้านไม่ได้ขอที่ดินเพิ่ม เราขอเพียงแค่ความชอบธรรมในการอยู่อาศัยในที่ดินของตัวเอง”

พ่อหลวงสมชายกล่าว พร้อมบอกว่าเขายินดีที่จะมาพูดคุยและตั้งกฎเกณฑ์ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่รัฐในการมาช่วยกันอนุรักษ์พื้นที่ป่า เพราะวันนี้โจทย์สำคัญมากกว่าพื้นที่ป่า 40% ของประเทศคือเราจะทำอย่างไรให้การอนุรักษ์นั้นเป็นไปอย่างยั่งยืน

“ในระดับพื้นที่เราไม่มีปัญหากันเลย การอนุรักษ์ป่าทำร่วมกันได้ ทุกวันนี้เรายังคิดเลยว่าปัญหาความขัดแย้งใกล้จบลงแล้ว มีการทำแนวเขตระหว่างรัฐกับชาวบ้านชัดเจน เราช่วยดูแลป่า ทำแนวกันไฟป่าอย่างมีส่วนร่วมกัน ไฟป่าป้องกันไม่ได้ถ้าไม่ร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย”

พ่อหลวงสมชายสรุปในตอนท้ายว่า อย่าทำให้สถานการณ์ที่กำลังดีขึ้นในพื้นที่ ต้องมาพังทลายลงจากผู้กำหนดนโยบายที่ไม่เคยลงมาฟังเสียงหรือเห็นพื้นที่จริงของประชาชน

ภาพประกอบจากการชุมนุมของสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.)  ร่วมกับสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า เครือข่ายชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบจากพระราชกฤษฎีกาป่าอนุรักษ์ ปักหลักชุมนุม ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2568 ถึง 1 เม.ย. 2568

บทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรี่ย์ ‘คนในป่าอยู่ร่วมกับการอนุรักษ์ป่าได้หรือไม่’

โดยเครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง – IMN