‘ป่าควรปลอดคน’? ความจริงหรือมายาคติ เมื่อกระแสอนุรักษ์กลบชีวิตคน

“การอนุรักษ์มีไว้เพื่อให้ป่าดำรงอยู่ต่อไปได้ ให้ป่าได้ทำหน้าที่ของมัน และถ้าชุมชนนั้นเขาอยู่กับป่ามาเป็นร้อยปีและมันไม่ได้มีปัญหาอะไร และคุณเป็นคนนอกมีสิทธิ์อะไรไปไล่เขาออก”

การอนุรักษ์ในภาษาอังกฤษตรงกับคำว่า Conservation ซึ่งแตกต่างจากคำว่า Preservation ที่แปลว่าการเก็บรักษา คือคำกล่าวที่ ดร. วิฑูรย์ วิริยะสกุลธรณ์ ผู้เรียนจบปริญญาเอกสาขาวนศาสตร์ชุมชน (Social Forest) จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนกล่าว

“การอนุรักษ์คือคุณสามารถจัดการมันได้” ดร. วิฑูรย์อธิบาย “ซึ่งตรงกันข้ามกับการเก็บรักษา คือคุณดองมันไว้ ห้ามแตะต้อง เอาคนออกจากป่าอันนี้ไม่ใช่การอนุรักษ์ การอนุรักษ์อนุญาตให้คุณสามารถที่จะมีการจัดการป่าเพื่อให้มันอยู่ได้”

ดร. วิฑูรย์มีพื้นเพประสบการณ์ที่ผสมผสานระหว่างสังคมศาสตร์และวนศาสตร์ เขาเรียนจบปริญญาตรีสังคมวิทยา และปริญญาโทสาขาการพัฒนาชนบท หลังจากเรียนจบปริญญาเอกวนศาสตร์ชุมชน เขากลับมาทำงานที่ศูนย์วนศาสตร์ชุมชน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อจัดทำหลักสูตรการสอนเรื่องป่าชุมชนตั้งแต่ปี 2539 จากนั้นอีก 10 ปี เขาย้ายไปทำงานในประเทศลาวกับองค์กร Mekong River Commission ทำงานในประเด็นความขัดแย้งในแม่น้ำโขง จากนั้นกลับมาเป็นรองผู้อำนวยการศูนย์โรตารี่เพื่อสันติภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ดร.วิฑูรย์ วิริยะสกุลธรณ์

“ถ้าถามผมเรื่องคนอยู่กับป่า ในฐานะคนที่อยู่กลางๆ ผมมักมีข้อถกเถียงกับนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ที่มองแต่เรื่องคน และนักวิชาการด้านวนศาสตร์ที่มองแต่เรื่องทรัพยากรธรรมชาติ”

สำหรับดร. วิฑูรย์ นี่คือหนึ่งในปัญหาที่เขาชี้ชัดเรื่องของ ‘คนอยู่กับป่า’ และแนวคิด ‘ป่าปลอดคน’ ที่เกิดจากการมองจากมุมมองด้านเดียวที่ตนเองศึกษา ทำให้มุมมองของดร.วิฑูรย์ นั้นแตกต่างออกไป เมื่อเขาพยายามมองเรื่องนี้จากสังคมศาสตร์และวนศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน

คนและป่าต่างต้องปรับตัว

“ผมคิดว่ากลุ่มชาติพันธุ์ก็ต้องปรับตัว ไม่อย่างนั้นจะอยู่แบบหนึ่งร้อยปีที่แล้วมันก็ไม่ได้เมื่อโลกมันเปลี่ยน ผมเคยคุยกับเพื่อนด้านเศรษฐศาสตร์ที่ตั้งคำถามว่า ทำไมเราต้องพยายามทำให้เขาอยู่อย่างนี้ไปตลอด ทำไมพวกเขาถึงพัฒนาไม่ได้?”

ดร. วิฑูรย์เริ่มต้นจากมุมมองการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่กับพื้นที่ป่ามาดั้งเดิม เขายกตัวอย่างการทำไร่หมุนเวียน ที่จากเดิมเคยทิ้งพื้นที่พักฟื้นได้สูงสุดถึง 10 ปี แต่ปัจจุบันกฎระเบียบในพื้นที่อนุรักษ์ที่เข้ามาทำให้สามารถทิ้งให้พื้นที่พักฟื้นได้เพียงแค่ 3 ปี เพราะหากมากกว่านั้นทางเจ้าหน้าที่ก็จะมองว่าเป็นพื้นที่รกร้างไม่มีเจ้าของและถูกยึดคืน รวมทั้งเรื่องของการเผาที่ทุกวันนี้สังคมกังวลเรื่องฝุ่นควันมากขึ้น

“เราจะมองเฉพาะชุมชนชาติพันธุ์อย่างเดียวคงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคนกลุ่มอื่นจะมองว่าทำไมคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้สิทธิพิเศษ วันนี้คุณต้องยอมรับว่ามันมีคนที่คิดแบบนี้อยู่ พวกเขาไม่ได้ให้คุณค่ากับคนกลุ่มน้อยในสังคม การศึกษาไม่ได้สร้างให้พวกเขามองสังคมแบบนั้น”

ปัญหาที่ดร. วิฑูรย์เห็นคือการมองโลกที่แตกต่างกันระหว่างคนในป่าและคนในเมือง ในขณะที่คนเมืองบางส่วนมองว่าป่าเป็นทรัพยากรที่ต้องเก็บรักษา พวกเขามองว่าป่าไม่ใช่พื้นที่ของมนุษย์สำหรับการอยู่อาศัย

“แต่คนที่เขาอยู่กับป่าคุณไปไล่เขาออก ถามว่ามันยุติธรรมไหม” ดร. วิฑูรย์ตั้งคำถาม “คนที่อาศัยอยู่กับป่าที่เขาไม่ได้มีรายได้ ป่าคือซูเปอร์มาร์เก็ตสำหรับหาอยู่หากินเพื่อมีชีวิตรอด”

ดังนั้นสำหรับฝั่งนักอนุรักษ์ ดร. วิฑูรย์ให้ความคิดเห็นว่า หลักสูตรการสอนวนศาสตร์ของประเทศไทย ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศฝั่งตะวันตกที่เป็นป่าเขตหนาว ไม่มีคนอาศัยอยู่ ในขณะที่ประเทศไทยนั้นเป็นป่าเขตร้อน ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากกว่า จึงไม่สามารถมองในบริบทเดียวกันได้

“เวลาถามว่าคนอยู่กับป่าได้ไหม ต้องถามต่อว่าคนกลุ่มไหน ถ้าคนพื้นเมืองอยู่ได้ เพราะเขาเกิดมาอยู่กับป่า ป่าเหล่านี้คือพื้นที่ที่มีคนอาศัยอยู่มาก่อนแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ได้พูดกันในการสอน”

พิธีกรรมอิ๊ด่ามาหลั๊วะของชาวลีซู เป็นการถวายผืนป่าให้เทพเจ้าและขอบคุณต่อเทพเจ้า เช่น มีชือด่ามา  อิ๊ด่ามา และอาปาโหม่ว ที่ดูแลอวยพรให้คนในชุมชนได้พืชผลดี 
พิธีกรรมอิ๊ด่ามาหลั๊วะของชาวลีซู เป็นการถวายผืนป่าให้เทพเจ้าและขอบคุณต่อเทพเจ้า เช่น มีชือด่ามา  อิ๊ด่ามา และอาปาโหม่ว ที่ดูแลอวยพรให้คนในชุมชนได้พืชผลดี
พิธีกรรมอิ๊ด่ามาหลั๊วะของชาวลีซู เป็นการถวายผืนป่าให้เทพเจ้าและขอบคุณต่อเทพเจ้า เช่น มีชือด่ามา  อิ๊ด่ามา และอาปาโหม่ว ที่ดูแลอวยพรให้คนในชุมชนได้พืชผลดี โดยชาวลีซูมีความเชื่อว่า ป่าคือพื้นที่ทางพืชพันธุ์ที่ไม่มีใครถือครองและเป็นเจ้าของ แต่จะมีเทพเจ้าแห่งป่า  “อิ๊ด่ามา” สถิตอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่เป็นเทพที่พระเจ้าวูซา (ผู้สร้างโลก) ให้มาดูแลรักษา และในพื้นที่ป่านั้น ทุกคนมีส่วนได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน

อย่างไรก็ดีดร. วิฑูรย์เข้าใจว่า เพราะในช่วงหลังมีคนนอกเข้าไปบุกรุกป่ามากขึ้น ทำให้การพิสูจน์เป็นเรื่องยาก อันเป็นหนึ่งในสาเหตุของความขัดแย้งระหว่างคนในพื้นที่และเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งมักจบลงด้วยการใช้อำนาจตามกฎหมาย

“ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยตรัสว่ากฎหมายไปบุกรุกคน มันไม่ได้คนบุกรุกป่า ประชาชนที่อยู่ตรงนั้นกว่าจะรู้ตัวมันผ่านไปนานมาก และพวกเขาไม่มีเอกสารยืนยัน”

ในส่วนเรื่องของสิทธิในที่ดิน ดร. วิฑูรย์มองว่า คนส่วนใหญ่นึกถึงเรื่องของความเป็นเจ้าของ(Ownership) ซึ่งคนละความหมายกับคำว่าสิทธิในที่ดิน คือเป็นการอนุญาตในการใช้ประโยชน์เท่านั้น

“การศึกษาของประเทศไทยคือมรดกตกทอดจากยุคอาณานิคม โดยไม่เคยมองเลยว่ามีหลายชุมชนบนโลกนี้เขาอยู่กันมาโดยไม่มีความเป็นเจ้าของ พวกเขาอยู่กันมาแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ เขารู้สิทธิของเขา แต่เราไปเอาแนวคิดเรื่องความเป็นเจ้าของที่ดินมาใช้ปัญหาจึงเกิดขึ้น”

อย่างไรก็ดีวันนี้ทั่วโลกต่างตื่นตัวและหันกลับมามองความสำคัญของกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองมากขึ้น มีกฎหมายคุ้มครองชนเผ่าพื้นเมืองเกิดขึ้นในหลายประเทศในภูมิภาค ยกตัวอย่างเช่น ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ไต้หวัน เป็นต้น ในขณะที่กฎหมายคุ้มครองชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทยถูกปัดตกไป เพียงเพราะว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ยอมรับคำว่าชนเผ่าพื้นเมือง และให้ใช้คำว่ากลุ่มชาติพันธุ์แทน ซึ่งทำให้สาระสำคัญที่ทั่วโลกยอมรับหล่นหายไป

การคุ้มครองคนอยู่กับป่า ผ่านกฎหมายคุ้มครองชนเผ่าพื้นเมือง ในนานาอารยประเทศ

ในงานเสวนานานาชาติเรื่อง ‘อนาคตแห่งความยั่งยืน: ความหลากหลายทางชีวภาพเป็นสิ่งจำเป็น’ ที่จัดขึ้นที่สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 ได้มีการเชิญแขกรับเชิญจากประเทศต่างๆ มาร่วมพูดคุยถึงบทบาทสำคัญของชนเผ่าพื้นเมือง ในการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

ดร.ปาซาง โดลมา เชอร์ปา ผู้อำนวยการบริหาร ศูนย์วิจัยและพัฒนาชนพื้นเมือง (CIPRED) จากประเทศเนปาล ชี้ให้เห็นว่า 62% ของชนพื้นเมืองที่อยู่ทั่วโลก มีส่วนในการที่จะช่วยดูแลในเรื่องของความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งประเทศเนปาลเล็งเห็นความสำคัญและในปี 2022 ได้ออกกฎหมาย Shyagya Conservation Act 2022 มาใช้เพื่อรับรองและรักษาประเพณีที่ชื่อว่า  ‘Shagya’ โดยมีพื้นฐานมาจากหลักปรัชญาของศาสนาพุทธ โดยหลักต่างๆ ประกอบด้วยการห้ามล่าสัตว์ วางกับดัก เก็บน้ำผึ้ง การขายปศุสัตว์และการเผาในป่าและภูเขา

นอกจากนี้ในประเทศเนปาลตามรัฐธรรมนูญปี 2015 มีการกำหนดว่าชนพื้นเมืองสามารถออกกฎหมายของตัวเองได้ ดร.ปาซางจึงกล่าวว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมามีความพยายามทำงานกับรัฐบาลท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2022 ที่ได้ออกกฎหมายท้องถิ่นออกมายอมรับในเรื่องของการกำหนดอนาคตตนเองของชนพื้นเมือง การออกกฎหมายของตนเองจึงเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับความยั่งยืน

ทางด้านเฮเลน มากาตะ เจ้าหน้าที่สื่อสารจากองค์กรเต็บเท็บบา ประเทศฟิลิปปินส์ ได้อธิบายถึงความสำคัญในการให้สิทธิของคนพื้นเมือง เพื่อช่วยดูแลความหลากหลายทางชีวภาพ ยกตัวอย่างเช่นในประเทศฟิลิปปินส์มีกฎหมายของคนพื้นเมือง ที่เป็นการแสดงให้เห็นว่า ประเทศฟิลิปปินส์เห็นถึงความสำคัญ และจะต้องมีกลไกที่จะสนับสนุนกระบวนการต่างๆ ให้คนมีส่วนร่วมได้อย่างมีความหมาย

โดยพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในฟิลิปปินส์ ปี 1997 (Indigenous Peoples Rights Act – IPRA) หัวใจสำคัญข้อหนึ่งคือสิทธิในดินแดนบรรพบุรุษ (Ancestral Domains and Lands) มีการยอมรับสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในการครอบครอง ใช้ประโยชน์ และดูแลรักษาดินแดนของตน รวมทั้งรับรองความเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ และส่งเสริมให้ชนเผ่าเข้าถึงบริการพื้นฐาน เช่น การศึกษา สุขภาพ อาชีพ

ในขณะที่ประเทศบังกลาเทศ มินัล กันติ ตรีปุระ ผู้อำนวยการมูลนิธิมาลียา ได้เล่าเรื่องชนเผ่าพื้นเมืองในพื้นที่ Chittagong Hill Tracts พวกเขามีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการอยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ มีการบริหารจัดการป่า มีบทบาทในเรื่องของการดูแลความหลากหลายทางชีวภาพในป่า ถือว่าเป็นป่าที่มีการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนโดยชุมชนพื้นเมือง

มินัลได้แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัว โดยเล่าว่าปู่ย่าตายายของเขาทำไร่หมุนเวียนอยู่ในพื้นที่ Chittagong Hill Tracts  เมื่อตอนที่เขาเป็นเด็กหมู่บ้านมีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมาก มีทั้งสัตว์ป่าและพรรณพืช ทางพ่อแม่และปู่ย่าตายายของเขาก็ทำงานในการดูแลป่า เพราะป่าเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ และเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นของชีวิตของพวกเขา พวกเขาจะมีการเคารพต่อป่าและแหล่งน้ำ เพราะเป็นแหล่งที่นำมาซึ่งชีวิตและอนาคตให้กับผู้คน

มินัลย้ำเตือนว่าหากไม่มีชุมชนพื้นเมือง เราจะไม่สามารถดูแลรักษาความหลากหลายทางชีวภาพนี้ได้ เพราะว่าชุมชนพื้นเมืองเป็นผู้ที่มีความรู้ แต่ในบางประเทศกลับมีการไล่ผู้คนออกจากที่ดินของพวกเขาเพื่อที่จะอนุรักษ์ป่า

ทางด้านศ.ดร.ไคล์ ไวท์ จากสถาบันสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน มหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเป็นคนชนเผ่า Potawatomi หนึ่งในชนเผ่าพื้นเมืองที่มาจากรัฐมิชิแกน เขาทำงานเป็นส่วนหนึ่งกับชนเผ่าต่างๆ มาตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ซึ่งรวมทั้งโครงการที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนพื้นเมือง

ศ.ดร.ไคล์ยกตัวอย่างในรัฐมิชิแกน ชุมชนพื้นเมืองที่เขาเป็นส่วนหนึ่งมีหน้าที่ในการดูแลหนึ่งในสามของพื้นที่ในรัฐนั้น พวกเขาสามารถตัดสินใจในการดูแลสิ่งแวดล้อม การดำเนินการในการปกป้องสิ่งแวดล้อม เช่น การเผชิญความเสี่ยงในเรื่องของไฟป่าที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค  มีการผลักดันรัฐบาลในการจัดการร่วมระหว่างชนพื้นเมืองและพื้นที่สาธารณะ

ดังนั้นชนพื้นเมืองจึงก็มีอิทธิพลในพื้นที่ป่าของสหรัฐอเมริกา เป็นอำนาจที่ให้พวกเขาสามารถกำหนดชีวิตตัวเองเพื่อเป็นทางออกของทุกคน และก็มีการผลักดันรัฐบาลในการสร้างนโยบายเรื่ององค์ความรู้ของชนพื้นเมือง

“เราพยายามผลักดันให้เขาเคารพความรู้ของชนพื้นเมืองหรือกิจกรรมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับชนพื้นเมือง”

ศ.ดร.ไคล์กล่าวทิ้งท้าย ซึ่งเมื่อกลับมามองยังประเทศไทย วันนี้เรามองเห็นคุณค่าของกลุ่มชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในป่ามากน้อยแค่ไหน และให้โอกาสพวกเขาในการช่วยดูแลอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างไร

ชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ควรได้สิทธิในการตัดสินใจอนาคตของตนเอง

“คำถามที่ผมมีคือโลกมันเปลี่ยน กลุ่มคนที่พยายามเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มคนที่อยู่กับป่าเองก็ต้องตั้งคำถามว่า พวกเขาอยากคงอยู่ด้วยวิถีชีวิตแบบเดิมจริงหรือไม่ หรือพวกเขาเองก็อยากเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งอื่น”

ดร. วิฑูรย์ได้เสนอทางออกสำหรับปัญหาความขัดแย้งคนกับป่าว่า สิ่งสำคัญลำดับแรกคือคนในพื้นที่ควรได้มีสิทธิเลือกในสิ่งที่ตนเองต้องการ จากนั้นฝั่งภาครัฐและนักอนุรักษ์ควรที่จะเลือกใช้แนวทางการเจรจาและทำข้อตกลง มากกว่าการใช้อำนาจทางกฎหมายอย่างเดียว แม้วันนี้ดร. วิฑูรย์ยังคงมองเห็นว่าทั้งสองฝั่งมองเรื่องการอนุรักษ์ที่แตกต่างกัน

ดร.วิฑูรย์ วิริยะสกุลธรณ์

“การอนุรักษ์ป่าบ้านเราที่ผ่านมาไม่เคยมองชุมชน นักอนุรักษ์ถูกสั่งสอนเรื่องป่าปลอดคน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไม่ใช่ธรรมชาติ โลกนี้ป่าดิบจริงๆ มันไม่เหลือและเป็นอุดมคติ พวกคุณต้องยอมรับว่าป่าในประเทศไทยอย่างไรก็ต้องมีคน”

ดร. วิฑูรย์เชื่อว่าคนอยู่กับป่าได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ปัจจัยภายนอกเข้าไปรบกวนในพื้นที่มากเกินไป ทั้งจากเหล่านายทุนและการบุกรุกจากคนภายนอก นี่ต่างหากคือโจทย์ที่นักอนุรักษ์ควรตั้งคำถามและให้ความสำคัญ

“มันมีคำที่หลุดออกมาจริงๆ ว่าพวกชาวบ้านทำลายป่า แต่คำว่าชาวบ้านทำลายป่า เวลาพูดเขาพูดถึงใคร เขาหมายถึงชนพื้นเมือง คนเมือง ผู้บุกรุก คำว่าชาวบ้านมันเป็นคำที่กว้างเกินไป”

สุดท้ายการทำงานร่วมกันในการอนุรักษ์พื้นที่ระหว่างเจ้าหน้าที่ป่าไม้กับชุมชนเป็นวิธีการที่ยั่งยืนในมุมมองของ ดร. วิฑูรย์ แต่คำถามในวันข้างหน้าที่เป็นข้อท้าทายในการทำงานร่วมกันที่ ดร. วิฑูรย์ ได้กล่าวทิ้งท้ายคือ

“คำถามตอนนี้คือรุ่นลูกหลานกลุ่มชาติพันธุ์เขาคิดอย่างไรและต้องการอะไร การทำไร่แบบดั้งเดิม รวมทั้งไร่หมุนเวียนยังคือสิ่งที่พวกเขาอยากทำอยู่ไหม เราไม่สามารถคิดแทนพวกเขาทุกคนได้ ว่าพวกเขาควรต้องมีชีวิตเป็นอย่างไร แต่อย่างไรผมยังเชื่อว่าคนอยู่กับป่าอยู่ได้”

บทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรี่ย์ ‘คนในป่าอยู่ร่วมกับการอนุรักษ์ป่าได้หรือไม่’

โดยเครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง – IMN