เฟมินิสต์ล้อมวงคุย-ผู้หญิงอยู่ตรงไหนในบทบาทของกฎหมายคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์

“บางคนเรียกเรา ‘ไตดำ วันนี้จะไปรำที่ไหน’ เราก็คิดว่าทำไมผู้หญิงชาติพันธุ์ต้องรำเป็นอย่างเดียว”

ขวัญเมือง เรียนผง หรือแม่ขวัญ แกนนำสตรีภาคกลาง-ออก-ตก จากชาติพันธุ์ไตดำ เปิดประเด็นเรื่องสิทธิสตรี ด้วยการฉายภาพจำที่คนทั่วไปมักมองมาที่ผู้หญิงชาติพันธุ์ และเหมารวมว่าผู้หญิงกับการฟ้อนรำเป็นของคู่กันเสมอ

“ผู้หญิงทำได้หลายอย่าง ดังนั้นเราต้องแสดงศักยภาพออกมา ให้สังคมภายนอกเห็นว่าผู้หญิงชาติพันธุ์มีศักดิ์ศรี มีศักยภาพในตนเอง”

ขวัญเมือง เรียนผง หรือแม่ขวัญ แกนนำสตรีภาคกลาง-ออก-ตก จากชาติพันธุ์ไตดำ

แม่ขวัญได้เสริมว่า จริงๆ แล้วนั้นผู้หญิงชาติพันธุ์มีความเข้มแข็งในตนเองอยู่แล้ว ทั้งจากความเป็นแม่, และเป็นคนดูแลทุกอย่างในครอบครัว 

“ข้าวในหม้อมีหรือไม่  เงินในกระเป๋าพอหรือเปล่า”

นี่คือหน้าที่ของผู้หญิงที่แม่ขวัญกล่าว พร้อมทั้งบอกว่าตั้งแต่ปี  2554 ผู้หญิงชนเผ่าได้เข้ามามีส่วนร่วมรณรงค์กับสภาชนเผ่าพื้นเมือง ตั้งแต่การทำธรรมนูญชนเผ่ามาจนถึงพ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์ พ.ศ.2568

นำมาซึ่งที่มาของวงเสนาเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2568 ในหัวข้อ “ผู้หญิงกับกฎหมายชาติพันธุ์ เครื่องมือเสริมพลังสตรี” ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันนี้กฎหมายคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ผ่านแล้ว ผู้หญิงจะเข้ามามีบทบาทได้อย่างไร

บทบาทของสตรีในวันที่มีกฎหมายคุ้มครองวิถีชีวิตชาติพันธุ์

“ผู้หญิงอยู่ทุกส่วนในการขับเคลื่อนกฎหมายฉบับนี้ เพศใดเพศเดียวไม่สามารถผลักดันกฎหมายให้สำเร็จได้”

ต่อจากแม่ขวัญ ชุติมา มอแลกู่ หรือหมี่จู แกนนำสตรีภาคเหนือพื้นที่สูงจากชนเผ่าอ่าข่า ได้กล่าวว่า 

ข้อจำกัดที่ผ่านมาที่ผู้หญิงต้องพบเจอนั้นมาจากทั้งภาระทางครอบครัว ที่ฝ่ายหญิงต้องแบกรับดูแล รวมทั้งจากตัวผู้หญิงเองที่ไม่มีความกล้าในการยืนยันสิทธิของตนเอง

ชุติมา มอแลกู่ หรือหมี่จู แกนนำสตรีภาคเหนือพื้นที่สูงจากชนเผ่าอ่าข่า

“อยากให้ผู้หญิงลุกขึ้นมากล้าทำในสิ่งที่เป็นสิทธิของตนเอง”

โดยหลังจากที่หมี่จูกล่าวเสร็จสิ้น ได้มีการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมวงเสวนาได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องสิทธิสตรีชนเผ่า

“เราเคารพผู้หญิง แต่วิธีคิดของผู้ชายถ้างานไหนมันอันตราย เราขอให้ผู้หญิงอยู่ข้างหลัง”

คือเสียงจากผู้เข้าร่วมฟังวงเสวนา ก่อนที่วิทวัส เทพสง ได้ให้ความคิดเห็นเสริมว่า งานบางอย่างเช่น การยกของหรืองานที่ใช้แรงงาน อาจไม่เหมาะสมกับสรีระของผู้หญิงวิทวัสมองว่า

“ถ้าต้องการความเท่าเทียมทางเพศ ก็จำเป็นต้องส่งเสริมศักยภาพของผู้ชายด้วย”

วิทวัส เทพสง รองประธานสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ภาคใต้

ก่อนที่สลวย หาญทะเล ชาวอูรักลาโวยจ จากเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ได้แสดงความคิดเห็นว่า ทุกวันนี้ผู้หญิงชาวเลออกมาอยู่แนวหน้า เป็นกลุ่มที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจากนายทุน ดังนั้นเธอจึงไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการแบ่งประเภทงานด้วยเพศสภาพ

“ผู้หญิงก็ยกของหนักได้ ออกทะเลเองได้ ไปหาปลาได้ ไปดำน้ำได้” สลวยกล่าว

สลวย หาญทะเล ชาวอูรักลาโวยจ จากเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล

ในขณะที่เอ๊ะจากชาติพันธุ์ลัวะ มองเรื่องความเท่าเทียมทางเพศในบริบทของกลุ่มชาติพันธุ์ว่าบทบาทของผู้หญิงผู้ชายทุกวันนี้  ชุมชนของเขาก้าวข้ามไปแล้วว่างานอะไรเหมาะสมกับเพศอะไร 

“คนรุ่นผมเราก้าวข้ามว่าจะต้องผลักดันบทบาทของผู้หญิงมากขึ้น” เอ๊ะกล่าว “เพราะว่ากิจกรรมหรืองานต่างๆ ทุกเพศมีโอกาสเท่ากัน”

เช่นเดียวกับทรงวุฒิ แลเชอะ ชนเผ่าอ่าข่า เขาเล่าสถานะในครอบครัวของตนเองว่า เขาเป็นคนที่อยู่ข้างหลังผู้หญิง ในความหมายที่ภรรยาของเขานั้นมีศักยภาพในการออกไปทำงานข้างนอก เขามองว่าความเชื่อแต่ละชาติพันธุ์ ไม่ได้ต้องการนำเรื่องเพศสภาพมาเปรียบเทียบกัน แม้ว่าในอดีตจะมีความสำคัญในการปกป้องครอบครัว แต่ในปัจจุบันทุกเพศสามารถปกป้องตัวเองได้

ทรงวุฒิ แลเชอะ ชนเผ่าอ่าข่า

“จริงๆ แล้วในชุมชนเราไม่ได้มีการแบ่งแยกทุกอย่างว่า อันนี้งานของผู้หญิงอันนี้งานของผู้ชายเหมือนภาพจำของคนทั่วไป แต่ละชนเผ่ามีวิถีปฏิบัติของตนเอง แต่สมัยนี้พอใช้คำว่าเสมอภาคชาวบ้านอย่างเราก็สับสน” ทรงวุฒิกล่าว

โดยในช่วงท้ายของช่วงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสุนี ไชยรส นักวิชาการที่ส่งเสริมเรื่องสิทธิสตรีชนเผ่าพื้นเมืองได้กล่าวสรุปว่า คำว่าความเสมอภาคทางเพศ คือคำที่หมายถึงการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมโดยไม่ใช้เพศสภาพมากีดกัน

โดยถือว่าสิทธิของสตรีชนเผ่า เป็นเรื่องที่ถูกตระหนักมาตลอดการผลักดันพ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์ พ.ศ.2568 จนสามารถกำหนดสัดส่วนของผู้หญิงในสภาชนเผ่าพื้นเมืองภายใต้พ.ร.บ.ฉบับนี้

“สิ่งสำคัญตอนนี้คือผู้หญิงต้องเตรียมตัวสร้างความพร้อมของตนเอง ที่จะมีตัวแทนเข้าไปในสภาชนเผ่าพื้นเมือง” สุนีกล่าวทิ้งท้าย

สุนี ไชยรส นักวิชาการที่ส่งเสริมเรื่องสิทธิสตรีชนเผ่าพื้นเมือง

เขียนและเรียบเรียง: ณฐาภพ สังเกตุ