โคลัมบู๊ : ผู้ล่องเรือจากเจ้าพระยาถึงสังขละบุรี เพื่อหวนคืนสู่รากเหง้าของชาวมอญ

ถ้าโคลัมบัสทำได้ ทำไม ‘โคลัมบู๊’ จะทำไม่ได้

“ผมตั้งใจจะล่องเรือจากเจ้าพระยา ไปให้ถึงสุดเขตชายแดนสังขละ”

ประโยคสั้น ๆ นี้คือจุดเริ่มต้นการเดินทางสำรวจรากเหง้าของ ‘บู๊ – เศกสรรค์ สุมนตรี’ หรือที่ผู้เขียนเรียกว่า ‘โคลัมบู๊’ จากภาพพจน์คนออกเดินเรือตามความปรารถนา เหมือนคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ในประวัติศาสตร์ สาเหตุที่ปลายทางเป็นเช่นนั้น เพราะเป็นจุดสุดท้ายของทางน้ำบนแผนที่ประเทศไทยทางด้านตะวันตก และเป็นพรมแดนติดชิดของรัฐไทย-รัฐมอญ

โคลัมบู๊เป็นชาวมอญนนทบุรี เติบโตริมคลองกระทุ่มมืด ผูกพันกับน้ำมาตั้งแต่จำความได้ ทุกความทรงจำสำคัญล้วนเกิดขึ้นที่ริมคลอง

เขาเริ่มต้นจากการศึกษาแผนที่ทางน้ำ จัดตารางเดินทาง ตระเตรียมความพร้อมตรวจสภาพเรือ ด้วยมั่นอกมั่นใจว่า เรือไฟเบอร์เครื่องยามาฮ่า 15 แรงม้าจะพาตัวเองไปถึงฝั่งอย่างปลอดภัย เมื่อลองเทียบข้อมูลหากใช้เวลาปกติจะเดินทาง 5 ชั่วโมง แต่เขาให้ขีดเส้นให้ตัวเองถึง 1 เดือน ทั้งเพื่อเดินทางและศึกษาเรื่องราวของชุมชนชาวมอญตลอดสองฟากฝั่ง จนกระทั่งวินาทีที่หย่อนก้นลงบนเรือเพื่อออกแล่น เขาจำรอยยิ้มมุมปากกับฉากเปิดของความยิ่งใหญ่ที่จะเกิดกับตัวเองได้เป็นอย่างดี พาลคิดว่าวันแรกของโคลัมบัส ก็อาจรู้สึกแบบเดียวกับตน

“แผนการ คือ ผมเริ่มจากปทุมเลย ตรงชุมชนมอญสามโคก ล่องลงมาผ่านเกาะเกร็ดลัดเข้าคลองพระพิมล ไปออกชุมชนมอญไทรน้อย เข้าบางเลน ออกแม่น้ำท่าจีนนครปฐม ไปทางคลองสนามชัยผ่านสมาคมไทยรามัญ ไปเจอแม่น้ำแม่กลอง เข้าทางบ้านม่วงเพื่อจะทะลุกาญจนบุรีจนถึงไทรโยค ตรงนั้นจำแม่นเลยว่าต้องออกซ้ายไปทางแควน้อย ผ่านประสาทเมืองสิงห์แล้วยิงยาวถึงแม่น้ำสามประสบ จบที่สังขละโดยสวัสดิภาพ”

บู๊ – เศกสรรค์ สุมนตรี หรือที่ผู้เขียนเรียกว่า ‘โคลัมบู๊’ จากภาพพจน์คนออกเดินเรือตามความปรารถนา

หากแต่ทุกการเดินทางย่อมเจออุปสรรค โคลัมบู๊ ยังไม่ทันถึงจุดพักก็เจอเข้ากับประตูกั้นน้ำพิมลราชใกล้บ้านตัวเอง เขาเกาหัวแกรกแผนที่วางมาเนิ่นนานมันไม่มีสิ่งนี้

“ผมลืมไปว่าทุกวันนี้ มันมีประตูกั้นน้ำ ผมต้องขอแรงคนแถวนั้นมาช่วยยกเรือข้ามประตูกั้นไปลงอีกฝั่ง เพราะประตูพวกนี้หากไม่จำเป็นเขาก็ไม่เปิดมั่วซั่ว” 

การล่องเรือเพื่อหวนคืนสู่รากเหง้าของชาวมอญ ผ่านคืนแรกอย่างที่เจ้าตัวเรียกว่า ทุลักทุเล และเมื่อผ่านอีกวันมันคือการคูณสองของอาการลำบากลำบน เขาอาศัยกางเต็นท์นอนใต้สะพานยกระดับข้ามคลอง และพักศาลาท่าน้ำบ้านคนรู้จัก จนกระทั่งได้ออกเดินทางเป็นวันที่ 3

“มันเป็นแม่น้ำท่าจีน ผมว่าผมมาไกลนะ แต่ว่า…ผักตบชวาบานเลย เต็มคลองไปต่อไม่ได้จนต้องเอารถมาบรรทุกเรือไปจนถึงสังขละบุรีแทน จากวางไว้เป็นเดือนผมจบทริปนี้ใน 3 วัน” 

น้ำ มอญ และความทรงจำ

ไทยอยู่บาง กะเหรี่ยงอยู่ป่า ลาวอยู่ดอน มอญอยู่น้ำ

เป็นวลีที่ได้รับการถ่ายทอดจาก โคลัมบู๊ เศกสรรค์ สุมนตรี ข้อความนี้แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม เต็มไปด้วยชาติพันธุ์หลากหลายที่ มีกระจายกันอาศัยอยู่ตามลักษณะภูมิประเทศ ซึ่งยึดโยงกับวิถีชีวิตแตกต่างกัน ‘มอญอยู่น้ำ’ แสดงให้เห็นว่าชนชาวมอญ ใช้เส้นทางน้ำเป็นแกนหลักในวิถีชีวิต เพราะคนมอญอาศัยและอยู่สองฝั่งริมคลอง ดื่มกินทรัพยากรในน้ำ และมีฐานเศรษฐกิจอิงแอบแนบชิดอยู่กับสายน้ำ

เมื่อครั้งมอญยังเป็นอณาจักรยิ่งใหญ่ ได้กำเนิดองค์ความรู้หลากหลายสาขาวิทยาการ ไม่ว่าจะเป็นการทำ ‘อิฐมอญ’ ที่มีวิธีการเฉพาะของมอญในการรังสรรค์ให้มีความทนทานที่สุด ปรากฏในประวัติศาสตร์ว่าเคยใช้ทำกำแพงเพื่อป้องกันกระสุนเมื่อครั้งทำสงครามกับพม่า หรือการมีภาษาเขียนของตนเองที่ถูกบันทึกไว้ เรียกว่า ‘ภาษาปัลลวะ’ อันเป็นรากฐานของหลายภาษาในภูมิภาคอุษาคเนย์รวมทั้งภาษาไทย จนพวกเขาถูกยกให้เป็น ‘ครูแห่งอุษาคเนย์’

แต่ครั้นต้องเปลี่ยนสถานะจาก ‘อาณาจักรมอญ’ เหลือเพียง ‘รัฐมอญ’ ของประเทศเมียนมา ชาวมอญก็แตกสานซ่านเซ็นตามเส้นทางอพยพโดยทางหลักคือแม่น้ำ ซึ่งหากดูเส้นน้ำบนแผนที่ รัฐมอญ​ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ทอดยาวและแตกสาขามาเป็นสายน้ำเล็ก-ใหญ่ ผ่านหลายพื้นที่หลายจังหวัด จนถึงปริมณฑลอย่าง พระประแดง, สามโคก, ปากเกร็ด, หรือบางขุนเทียน พื้นที่เหล่านี้เปรียบเสมือนไข่ขาวรอบไข่แดงชื่อ ‘กรุงเทพมหานคร’ ชุมชนชาวมอญอยู่รอบทุกทิศของเมืองหลวง ทั้งที่ยังปรากฏกลิ่นอาย วัฒนธรรม และอาจพบเห็นได้ยาก

โคลัมบู๊เล่าให้เราฟังถึงเรื่อง ‘ลุงบุญมี’ ที่จำได้ในวัยเด็กว่า แกเรือนร่างผอมเรียว ใจดี และชอบอยู่ติดบ้าน ดังนั้น ผู้คนจะได้เห็นลุงบุญมีก็ตรงชานบ้านริมคลอง ‘บ้านแบบชาวมอญ’ หรือ ‘มอญขวาง’ ที่มีลักษณะเฉพาะแบบมอญ ๆ ด้วยการสร้างบ้านแบบขวางลำน้ำ หันหน้าไปทางทิศเหนือ ซึ่งหากอธิบายด้วยหลักสถาปัตยกรรม ก็พบว่าบ้านจะได้รับลมรับแดด แต่ถ้าอธิบายด้วยความเชื่อแบบคนมอญ จะกลายเป็นเรื่องทิศที่ดีตามความเชื่อ บ้านแบบมอญจึงมีความหมายเชิงวัฒนธรรมและสะท้อนเอกลักษณ์ของมอญ บ้านของลุงบุญมีหันหน้าไปทางทิศเหนือ ยกสูงและมีชานบ้านที่หันเข้าฝั่งคลอง เมื่อครั้งยังเป็นเด็กชายบู๊ ลุงบุญมีชอบโยนลูกมะม่วงและมะขวิดจากฝั่งบ้านแกมาที่ฝั่งบ้านของเขา แกทำเช่นนั้นอยู่เรื่อยมา

อีกเรื่องเล่าจากความทรงจำของโคลัมบู๊ คือตอนที่เขาพายเรือไปวางตาข่ายดักปลากับยาย เมื่อตะวันตกขอบฟ้าใกล้ต้นมะกอกต้นหนึ่งในคลอง ก็เกิดเหตุการณ์น่าสลด เขาพบร่างแขวนคอปลิดชีพตนตรงหน้าพอดิบพอดี ในขณะที่คนอื่นต่างตกใจและโศกเศร้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โคลัมบู๊นึกขึ้นได้ว่า พรุ่งนี้เช้าต้องกลับไปที่เดิม เพื่อเก็บตาข่ายดักปลาที่วางไว้เมื่อตอนเช้า ผีก็กลัว แต่ตาข่ายดักปลาก็ยังต้องเก็บ จะหลบหลีกก็หลังอาจลายเพราะมือยายได้ เขาจึงต้องแกล้งป่วย

“คนมอญเชื่อว่า ถ้าตายแบบผิดปกติในบ้าน บ้านหลังนั้นจะต้องถูกรื้อและต้องนำไปถวายวัด ผมคิดว่าที่เขาเลือกเป็นริมน้ำ ใต้ต้นมะกอกตรงนั้น เขายังมีสำนึกในความเชื่อแบบคนมอญอยู่”  

โคลัมบู๊เล่าด้วยความตื้นตัน ขำขื่น แซมแววตาเปล่งประกาย คล้ายว่าความทรงจำเหล่านี้ไม่ถูกจับใส่เรือออกพายมาสักพัก

เรื่องทั้งหมด คือความทรงจำที่ยืนยันว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอบอุ่นใจหรือตลกร้าย แต่เรื่องราวเหล่านั้น ล้วนเกิดขึ้นริมคลอง ทั้งลุงบุญมีใจดีอินโทรเวิร์ต ซึ่งเกิดขึ้นในบ้านที่ต้องมีลักษณะเฉพาะแบบชาวมอญจึงจะมีกิจกรรมการโยนลูกไม้ไปมาหากันได้, เรื่องวางตาข่ายดักปลาที่ทำเอาเด็กชายโคลัมบู๊หวั่นใจเมื่อมีคนตาย แต่ฉากที่ฉายอยู่ข้างหลังทำให้เราได้รู้ว่า แม่น้ำที่ชาวมอญอาศัยอยู่นั้น อุดมสมบูรณ์ และมีความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงวิถีปฏิบัติของชีวิตหลังความตายแบบชาวมอญ หรือคำกล่าวย้ำของผู้เล่าที่บอกว่าการที่เขาเลือกตายตรงนั้น เขายังมีสำนึกแบบมอญอยู่

แม้ยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่ชาติพันธุ์มอญยังคงมีชีวิตอยู่ที่ริมแม่น้ำ ทั้งในปริมณฑลและพื้นที่อื่น สำนึกในชาติพันธุ์อาจจะยังอยู่บนเรือ ริมคลอง ใต้น้ำ หรือขยับขยายไปตามเมืองใหญ่ และเปลี่ยนไปตามพลวัตแล้วก็เป็นไปได้ทั้งหมด โคลัมบู๊ทิ้งท้ายถึงเรื่องนี้ไว้ว่า

“ถ้าเกิดต้องถอดบทเรียนนะ ภูมิคุ้มกันของรากเหง้าของพวกเราอ่อนลง เราเป็นชุมชนดั้งเดิมแท้ ๆ แต่การสืบทอดสำนึกในชาติพันธุ์ ไม่ได้เร็วเท่ากับความเจริญที่ขยายตัวเข้ามา นี่จึงเป็นโจทย์ชีวิตที่บางแต่หนัก จนคนรุ่นเราต้องกลับมาคิดว่า ชนชาติมอญจะยังมีความทรงจำแบบนี้อยู่ไหม รากเหง้าเราจะถูกจดจำอย่างไรและนับจากวันนี้ วันที่เรื่องชาติพันธุ์ – ชนเผ่าพื้นเมืองถูกให้การยอมรับมากขึ้น เราอยากจะให้สังคมไทยรับรู้ เข้าใจ และเคารพในความแตกต่างตรงนี้ของพวกเราได้อย่างไร”

เรื่อง: เศกสรรค์ สุมนตรี / เขียน: มณีวรรณ พลมณี  / เรียบเรียง : นพพล ไม้พลวง

หมายเหตุ: ผลงานชิ้นนี้เกิดจากการอบรมเชิงปฏิบัติการ สื่อชนเผ่าพื้นเมือง จากความร่วมมือระหว่างเครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง (IMN) , กับ มูลนิธิองค์ความรู้เพื่อการพัฒนา (K4D) โดยได้รับการสนับสนุนจาก International Media Support (IMS), กองทุนสมานฉันท์ชนพื้นเมืองแห่งเอเชีย (IPAS Fund) และฮาร์ดสตอรี่ (HaRDstories)