“เย็นวันหนึ่ง เหมือนฝนกำลังจะตก ลมเริ่มพัดแรง พี่ก็ได้กลิ่นอะไรหอม ๆ เป็นกลิ่นที่คุ้นมาก เลยไปถามแม่ แม่บอกว่าป้าข้างบ้านแกน่าจะเผาส้มป่อยหยุดลมไล่ฝน พี่เลยเดินไปดู เจอเขาเผาส้มป่อยอยู่บนเตาเป็นกองเลย จากนั้นไอ้ลมที่กำลังพัดแรงก็เบาลงจริงๆ”
ฝ้าย มะลิวัลย์ เต๊จ๊ะ สตรีกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ ผู้เป็นแกนนำเยาวชน บ้านแม่ยางมิ้น ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เล่าถึงภาพจำที่ตนมีต่อ ‘ส้มป่อย’ พืชสมุนไพรสำคัญในพื้นที่ หากมองด้วยสายตาส้มป่อย คือ ไม้เถาพุ่มเลื้อยยาว ซึ่งอาศัยเกาะอยู่กับต้นไม้ใหญ่ ตามกิ่งและลำต้นมีหนามแหลม ถ้าออกดอกจะเป็นกระฉูดสั้นเล็กสีขาวนวล เกาะรวมกันเป็นกระจุกแน่นก่อนพัฒนาเป็นฝักแบนยาว ตัวฝักมีผิวเกลี้ยงสีแดงอมน้ำตาล ถ้าย้อนไปก่อนหน้าสัก 10 ปี นี่คือสิ่งที่หาได้เพราะมันถูกทิ้งอยู่ตามป่ารอบบ้าน

สำหรับกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ บ้านแม่ยางมิ้น พวกเขามักใช้ส้มป่อยเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมและความเชื่อที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝักส้มป่อยเดือน 5 (นับเดือนแบบล้านนา ตรงกับช่วงเมษายน) ซึ่งต้องถูกเก็บเกี่ยวช่วงหัวรุ่งของวันพระใหญ่ เพื่อนำมาตากแห้งหรือบางคนจะเอาไปอังไฟไว้บนแคร่ไม้ตอนทำกับข้าว เมื่อแห้งแล้วก็เก็บใส่ถุงปิดผนึกเก็บ ด้วยเชื่อกันว่าเดือน 5 เป็นเดือนมงคลเพิ่มพูนพุทธคุณและอิทธิฤทธิ์
ผู้ใหญ่บ้านแม่ยางมิ้น หมู่ 11 บุญฤทธิ์ เต๊จ๊ะ ช่วยขยายความและลำดับการใช้งานของส้มป่อยเดือนห้าว่า
“ส่วนใหญ่บ้านเราใช้แทบทุกพิธี ทั้งหยุดลม ห้ามฝน สะเดาะเคราะห์ ใช้กับประเพณีผูกข้อมือ หรือรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ รวมทั้งยังใช้แช่น้ำรดศพ หรือกระทั่งการล้างเท้าคนที่ออกไปนอกหมู่บ้านแล้วมีอันต้องกลับมาร่วมงานเมื่อคนในหมู่บ้านเสียชีวิต การใช้งานจะนำฝักส้มป่อยแห้งแช่ในน้ำที่ละลายด้วยผงขมิ้น แล้วปรุงเป็นน้ำขมิ้นส้มป่อย”

ส้มป่อย ไม่เพียงแค่ใช้ในด้านพิธีกรรม ความเชื่อ เพื่อเสริมคุณค่าภายในจิตใจเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นได้ทั้ง วัตถุดิบในการประกอบอาหาร และยาสมุนไพร เพราะยอดอ่อนของส้มป่อยซึ่งให้รสเปรี้ยว ช่วยเพิ่มรสชาติ เมนูที่นิยมมักจะเป็นแกงส้มใส่ปลา นอกจากจะเปิดต่อมรับรสให้เพลิดเพลนกับการรับประทานแล้ว ยังเพิ่มสรรพคุณทางยาให้กับมื้ออาหารอีกด้วย ยังไม่พอ มะลิวัลย์จำได้ดีว่า คนเถ้าคนแก่ที่บ้านเธอนิยมนำฝักของส้มป่อยมาตีกับน้ำให้เกิดฟอง เพื่อใช้สระผมด้วย
หากอ้างอิงจากข้อมูลของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จะเห็นได้ชัดว่า เหตุผลที่ต้องนำมาตีกับน้ำเพราะฝักส้มป่อยมีสารซาโปนินสูง หากเกิดฟองที่คงทนแล้วนำมาสระผม ก็สามารถกลายเป็นแชมพูธรรมชาติ ช่วยขจัดรังแคและบำรุงผมได้
ความเชื่อของการใช้ฝักส้มป่อยในพิธีกรรมและวิถีชีวิต เป็นเหมือนมรดกทางภูมิปัญญาท้องถิ่น นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์เชื่อมโยงวิถีชีวิตและความศักดิ์สิทธิ์ ให้เข้ากับพืชพรรณธรรมชาติสืบเนื่องกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่ปัจจุบัน วงจรชีวิตของส้มป่อยจึงถูกรบกวน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หน้าแล้งยาวนาน ฝนตกน้อยบ้างมากบ้างจนน้ำหลาก เหมือนบรรยากาศเปลี่ยนไปไม่เป็นตามวงจรปฏิทินฤดูกาล
จากสถิติพื้นที่ป่าไม้ ของกรมป่าไม้ ปี พ.ศ. 2565 – 2567 พบว่า จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ป่าลดลง 14,173.42 ไร่ สาเหตุหลักมาจากการสร้างที่อยู่อาศัย และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อป่าหาย ต้นไม้ยืนต้นลดลง ทำให้ต้นส้มป่อยซึ่งต้องพึ่งพาไม้ใหญ่ในป่าเพื่อเจริญเติบโตไม่อาจอยู่ได้ การที่พื้นที่ป่าที่หายไป ไม่ได้แค่ทำให้ส้มป่อยหายากขึ้น แต่ยังสะท้อนถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลกที่องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) เคยเตือนว่า ความผันผวนของสภาพภูมิอากาศมีความเสี่ยงต่อระบบนิเวศมาก ตัวอย่างเช่น ปริมาณน้ำฝนในประเทศไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 มีฝนตกน้อยที่สุดในรอบ 40 ปี แต่กลับกันดันมีปริมาณน้ำฝนรายปีสูงสุด นับแต่มีการบันทึกเมื่อปี พ.ศ. 2494 นอกจากนั้นยังพบว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 ประเทศไทยร้อนขึ้นเฉลี่ย +1.4°C
เรื่องของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จนกระทบต่อส้มป่อย และการพบเห็นพิธีไล่ฝนน้อยลงสตรีปกาเกอะญอจากบ้านแม่ยางมิ้นแสดงความคิดเห็นว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน
“ตอนนี้ส้มป่อยมีน้อยลง เราก็เห็นบางกิจกรรมในชุมชนลดลงไปด้วย ด้วยความที่สภาพอากาศมันเปลี่ยนแปลง ทำให้มีผลกับฝักของส้มป่อยเหมือนกัน คือบางครั้งมันจะไม่สมบูรณ์ หรือว่าออกดอกน้อย แล้วก็ผลที่ได้ บางทีก็เก็บไว้ได้ไม่นานก็กรอบแห้งใช้ไม่ได้แล้ว แต่เรื่องสำคัญอีกอย่างคือ บางครั้งถ้าต้มส้มป่อยใกล้กับถนนก็จะมีคนจากหมู่บ้านอื่นเข้ามาเก็บ เพราะสามารถนำไปขายได้ ยิ่งช่วงก่อนสงกรานต์นะ จะมีทั้งคนในชุมชนและนอกชุมชน ออกตามหาส้มป่อย แบบจับจองแย่งชิงกันเลย”

มะลิวัลย์ ให้ภาพคำว่า “แย่งชิง” เพิ่มเติมว่า การแย่งส้มป่อยนี้ ไม่ถึงขนาดเกิดการทะเลาะหรือใช้กำลัง เนื่องด้วยการมาเก็บในช่วงเวลาไม่ตรงกัน จะสร้างความรำคาญใจให้กับคนในหมู่บ้าน จนพากันตั้งคำถามว่า ทำไมต้องรอให้คนอื่นเขามาแย่งฝักส้มป่อยในหมู่บ้านเรา พอเห็นมันเก็บได้เราก็พากันไปเก็บไว้ใช้เองดีกว่า
ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้บ้านยางมิ้น เป็นที่หมายตาในการตระเวนหาส้มป่อย นั่นเพราะชาวปกาเกอะญอชุมชนนี้ มีการแบ่งโซนพื้นที่ป่าออกเป็น 2 ฝั่งอย่างชัดเจน คือ “ป่าใช้สอย” และ “ป่าอนุรักษ์” พร้อมทั้งกำหนดช่วงเวลาสำหรับการทำแนวกันไฟอย่างเป็นระบบ ตอนปลายเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ พวกเขามีวิถีเกษตรแบบหมุนเวียนอยู่ร่วมกับธรรมชาติมาช้านาน การถางไร่และการเผาก่อนเพาะปลูกนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้แบบแผน แต่มีระบบการควบคุม เช่น การทำแนวกันไฟรอบแปลงเกษตร เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามเข้าสู่ป่าธรรมชาติ จึงทำให้พื้นที่ป่าของบ้านแม่ยางมิ้น ยังคงอุดมสมบูรณ์และมีต้มส้มป่อยให้ได้ใช้ประโยชน์
ปัจจุบันนี้ ไม่ใช่แค่คนนอกหมู่บ้านที่เข้ามาเท่านั้น แม้แต่คนในชุมชนบ้านแม่ยางมิ้นเอง ก็พากันจองต้นส้มป่อยตั้งแต่เริ่มออกดอกแล้ว ตอนนี้แทบทุกบ้านจะมีต้นส้มป่อยของใครของมัน ไม่ได้แบ่งปันกันเหมือนตอนเธอยังเด็กอีกแล้ว
“ตามหัวไร่ปลายนา หรือตามลำห้วยใกล้สวนของใคร ส้มป่อยนั้นก็จะเป็นของคนนั้น พอมันออกดอกจะมีการจองไว้ว่า ที่ตรงนี้เป็นของใครและคนอื่นก็จะไม่มีสิทธิ์ไปเอา ยกเว้นจะขออนุญาตก่อน”

โดยไม่ต้องพึ่งข้อมูลหรือตัวเลขแสดงจำนวนการลดลงของต้นส้มป่อย แต่หนึ่งในสตรีปกาเกอะญอบ้านแม่ยางมิ้น ก็สามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงผ่านการเก็บเกี่ยวที่ยากขึ้นกว่าเดิม ปริมาณฝักส้มป่อยลดลงไปทุกปี คุณภาพของผลผลิตฝักเปลี่ยนไป หรือแม้แต่การเข้ามาของคนแปลกหน้าเพื่อถามหาส้มป่อย
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ประเทศไทยมีความพยายามผลักดันให้เกิด “กฎหมายโลกร้อน” หรือ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฯ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตั้งแต่เดือนธันวาคม 2568 โดยจะได้เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อสามารถเข้าถึงข้อมูลก๊าซเรือนกระจก ข้อมูลการคาดการณ์และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ข้อมูลประเมินความเสี่ยงและผลกระทบ รวมถึงข้อมูลกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งภาคเอกชนดำเนินการ และการมีกองทุนภูมิอากาศ ที่จะเป็นอีกเครื่องมือช่วยให้ประชาชนได้ใช้สอยสิทธิเสรีภาพ เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
แต่ความกังวลเรื่องผลกระทบจาก “ภาษีคาร์บอน” และมาตรการดำเนินงานภายใต้กลไกของกฎหมาย ยังคงเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย เฉพาะอย่างยิ่งความเข้มงวดกวดขันและความเอาจริงเอาจังของหน่วยงานรัฐ กับการจัดการภาคการผลิต หรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เมื่อร่างกฎหมายนี้ มุ่งกำหนดบทลงโทษความผิดทางพินัย หรือเน้นการปรับเป็นเพียงแค่ตัวเงิน แต่ถ้าหากกฎหมายนี้ เป็นไปตามเจตนารมซึ่งอยากเห็นการคงสภาพ ฟื้นฟู ดูแล ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่แน่ว่า เราอาจจะได้เห็นการใช้งานส้มป่อยในชีวิตประจำวันของชาวบ้านแม่ยางมิ้นมากขึ้น
เพราะเมื่อวิถี ประเพณี ความเชื่อ ยังคงดำเนินต่อไป แต่ของสำคัญที่ต้องใช้กำลังลดน้อยลงไปทุกที นี่คงเป็นความท้าทายของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องพยายามรักษามรดกนี้ไว้ ปัจจุบัน ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย กำลังเริ่มต้นโครงการปลูกส้มป่อยในชุมชนหรือพื้นที่ข้างบ้านตนเอง เพื่อให้มีวัตถุดิบใช้ในแต่ละพิธีโดยไม่ต้องพึ่งพาป่า โดยการนำต้นส้มป่อยในพื้นที่มาเพาะชำ เพื่อให้ได้ต้นกล้าแข็งแรง แล้วปลูกขยายพันธุ์บนแปลงขยายต่อไป รวมถึงความตั้งใจว่า ถ้าต้นกล้าส้มป่อยมีจำนวนมากพอ พวกเขาจะจำหน่ายให้กับผู้ที่ต้องการด้วย
ฝักส้มป่อยเล็ก ๆ หนึ่งฝัก สามารถรักษาความหมายของวิถีชีวิต พิธีกรรม ความเชื่อ ที่คนในชุมชนยึดถือไว้ เรื่องราวของ “ส้มป่อย” นี้จึงเป็นเพียงตัวอย่าง ที่อยากชวนทุกคนคิดถึงและสนใจปัญหาการเปลี่ยนแปลง การแปรปรวนของสภาพอากาศ ซึ่งไม่เพียงแค่กำลังเสี่ยงสูญเสียสมุนไพรชนิดหนึ่งไป แต่เราอาจกำลังสูญเสียวัฒนธรรม ความเชื่อ และวิธีดั้งเดิมของบรรพบุรุษ ที่ตั้งใจส่งต่อไว้ให้อนุชนรุ่นหลังด้วย
เรื่อง: มะลิวัลย์ เต๊จ๊ะ / เขียน: ณัฐชา เจริญสุข / เรียบเรียง : นพพล ไม้พลวง
หมายเหตุ: ผลงานชิ้นนี้เกิดจากการอบรมเชิงปฏิบัติการ สื่อชนเผ่าพื้นเมือง จากความร่วมมือระหว่างเครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง (IMN) , กับ มูลนิธิองค์ความรู้เพื่อการพัฒนา (K4D) โดยได้รับการสนับสนุนจาก International Media Support (IMS), กองทุนสมานฉันท์ชนพื้นเมืองแห่งเอเชีย (IPAS Fund) และฮาร์ดสตอรี่ (HaRDstories)