ภารกิจเก็บกวาด ที่ปราศจากวันสิ้นสุด: ชุติมา มอแลกู่ จากแม่บ้านใฝ่รู้ สู่นักต่อสู้ด้านสิทธิมนุษยชนของคนอ่าข่า

(ถ้อยแถลงจากการมอบรางวัลบุคคลดีเด่นด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนประจำปี 2568 ด้านสิทธิของกลุ่มคนเปราะบาง โดย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ)

ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศชื่อผู้ได้รับรางวัลบุคคลดีเด่นด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สิทธิของกลุ่มคนเปราะบางประจำปี 2568  โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ‘ชุติมา มอแลกู่’ ก็ปรากฏตัวขึ้นในชุดประจำเผ่า ประดับเลื่อมเงินแววแพรวระยับเล่นกับไฟไปทั้งตัว …จนเมื่อสิ้นเสียงปรบมือ

“วันนี้ตื่นเต้นและดีใจมากที่ได้รับรางวัล อาจจะพูดไม่ชัด พูดไม่เก่ง ต้องขอโทษด้วยนะคะ”

และจากนี้ คือเรื่องราวของเธอ

1. ลงดอยมาคอยทำงานเก็บกวาดในฐานะ “แม่บ้าน”

ชุติมา เติบโตในครอบครัวที่สูญเสียผู้ชาย ใช้ชีวิตกับสตรี มีความใฝ่ฝันอยากเป็นครูดอยคอยสอนหนังสือเด็ก แต่เธอไม่ได้เริ่มต้นเรียนตามหลักสูตร แต่การศึกษาเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนเด็กชายวัยใกล้เคียงกันได้เข้าเรียน ขณะที่ตัวเธอต้องกระเตงน้องที่ร้องงอแงไปแอบส่อง ว่าพวกเด็กชายหายหัวไปเรียนอะไรกัน เธอใช้ช่องว่างของซีกไม้คอยแอบดูครูขณะสอน แล้วเรียนรู้ตาม ส่วนในใจนั้นก็เกิดข้อสงสัยกับความเป็นอยู่ของตัวเองและครอบครัว

…ทำไมผู้หญิงถึงไม่ได้เรียน?

…ทำไมผู้หญิงขี่ม้าไม่ได้?

…ทำไมปีนต้นไม้ไม่ได้?

…ทำไมห้ามผู้หญิงไหว้บรรพบุรุษที่ตายแล้ว?

จากความจำไม ทำให้เธอเริ่มแสดงออก ด้วยการหันหลังให้คำทัดทาน คำสอนเป็นเพียงตำนานไม่ใช่เชือกมาคอยพันธนาการ เธอกระโจนขึ้นม้าควบเล่นกับเพื่อนตามใจ ใช้สองเท้าป่ายปีนเก็บทุกดอกผลที่อยากได้

“ด้วยความเป็นคนดื้อ ซึ่งต้องการเหตุผล ไม่ใช่การบอกว่าห้ามแล้วคือห้าม เพราะบางอย่างเป็นธรรมเนียม แต่เหมือนไม่เป็นธรรม ก็บ้านเราไม่มีรถมอเตอร์ไซค์ มีแต่ม้าแล้วทำไมถึงจะขี่ไม่ได้ ทั้งที่เราชอบ ถ้าไม่ปีนไปเก็บ เราจะได้กินผลไม้ยังไงในเมื่อบ้านเราไม่มีผู้ชาย สุดท้ายก็ไม่เห็นเกิดอาเพศอะไรกับตัวเองและครอบครัวเลย”

เมื่อการขบถครั้งแรก ๆ ประสบผลสำเร็จ จึงนำไปสู่คำถามใหม่ที่ไกลออกไปจากครอบครัว 

… ทำไมคนอ่าข่าจำนวนมากไม่มีบัตรประชาชน ?

… ทำไมการไปหาหมอถึงได้ยาก ?

… ทำไมการจะออกจากบ้านตัวเองไปอีกหมู่บ้าน ต้องไปขออนุญาตคนอื่น ?

สำหรับสถานการณ์การเดินทางไปต่างอำเภอ ของประชาชนผู้อาศัยในประเทศไทย แต่ไม่มีบัตรประชาชน หรือบุคคล “ไร้สถานะ / ไร้สัญชาติ” จะไม่สามารถเดินทางออกจากจังหวัดได้ แม้กระทั่งการข้ามอำเภอก็ไม่สามารถดำเนินการได้โดยอิสระ จำเป็นต้องขอหนังสืออนุญาตจากสำนักงานทะเบียนอำเภอเสียก่อน ตามระบุในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการควบคุมการเดินทางออกนอกเขตพื้นที่ควบคุมของบุคคลต่างด้าวและคนกลุ่มน้อย เพื่อเป็นการควบคุมการเคลื่อนย้ายของบุคคลซึ่งรัฐยังไม่รับรองสถานะ

แต่การเชื่อฟังอาจไม่ใช่จุดเด่นของทุกคน โดยเฉพาะสตรีอ่าข่าที่กำลังแตกเนื้อสาว ชุติมา ตัดสินใจหันหลังให้บ้านมาหางานทำ รายชื่ออาชีพที่เธอผ่านมาจึงไม่ใช่ทางเลือกที่มีมากนัก คือ แม่บ้าน ล้างจาน เสิร์ฟอาหาร บางวันอาจถูกผลักขึ้นเวทีเป็นนักร้องในร้านอาหาร เพราะเธอเป็นคนเดียวที่สามารถร้องเพลงจีนได้ จึงได้รับโอกาสเมื่อนักร้องประจำขาด เธอสู้งานถึงขนาดเจ้าของกิจการเอ็นดู จนรับอุปการะเป็นลูกบุญธรรม จากนั้นประตูบานแรกแห่งการเพิ่มพูนความรู้จึงเปิดขึ้น ด้วยการเริ่มเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ (กศน.) กระทั่งจบมัธยมต้น

แม่บ้าน’ ยังสามารถระบุอาชีพนี้ไว้ใต้ชื่อชุติมาได้ เพราะหลังจากคิดเปลี่ยนงานใหม่ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 – 2539 เธอก็ได้ตำแหน่งเก่า ควบกับตำแหน่งโอเปอเรเตอร์(คนรับโทรศัพท์) และงานธุรการเล็กน้อยคอยช่วยสนับสนุนเจ้าหน้าที่ มูลนิธิเพื่อการศึกษาและพัฒนาชาวเขาในประเทศไทย-MPCDE (ภายหลังจดทะเบียนเป็น สมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย ศ.ว.ท./IMPECT ในปี พ.ศ. 2536)

“ฝันเราคือครูดอยเนอะ แล้วองค์กรนี้เขาทำงานเรื่องส่งเสริมการศึกษา เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องไปเป็นครูหมด พอไปสอนเสร็จแล้วเขาจะกลับมาประชุมกันตรงที่เราทำงานอยู่ เราก็ขยันเสิร์ฟทั้งวันเลยทีนี้ ในห้องประชุมเข้า ๆ ออก ๆ คอยถามคนนั้นทีคนนี้ทีอยากได้อะไรเพิ่มไหม เพราะเจตนาเราคืออยากรู้ว่าครูดอยมาประชุมอะไรกัน ถ้าอยากเป็นครูเนี่ยต้องเริ่มต้นยังไง…แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นดั่งใจหรอก”

ตำแหน่งใหม่ของชุติมาในองค์กรหลังจากปี พ.ศ. 2540 จึงถูกระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดมทุน ซึ่งยังห่างไกลจากความฝันที่วาดเอาไว้มาก แต่เธอคอยปลอบใจตัวเองเสมอ “ก็ในเมื่อเป็นครูไม่ได้แล้ว คอยสนับสนุนให้เด็กคนอื่นได้เรียนในแบบที่เราทำได้เอาดีกว่า”

2. ถูกไล่แต่ไม่ออก ! นอกกรอบในขอบความเป็นไปได้

หนึ่งประวัติศาสตร์สำคัญของขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทยที่ต้องถูกพูดถึง คือ หลังจากความเดือดร้อนอย่างต่อเนื่องภายใต้นโยบายอพยพคนออกจากป่า ตามแผนแม่บทฯบนพื้นที่สูง (ฉบับที่ 1) ในปี พ.ศ. 2536 จนนำมาสู่การมีส่วนร่วมผลักดันพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2541 ก็ได้เกิดการรวมกันของกลุ่มคนจาก 10 ชนเผ่าฯภาคเหนือ ที่ถูกรัฐตราหน้าว่าเป็น “ชาวเขา” และ “ผู้บุกรุกป่า” เพื่อชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นครั้งแรกของการปักหลักชุมนุมยืดเยื้อ ภายใต้ข้อเรียกร้องให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน สิทธิชุมชน และการพิสูจน์สิทธิสถานะบุคคล

บทสรุปสำคัญจากการชุมนุม นำมาซึ่งการก่อเกิดสมัชชาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย รวมทั้ง มติคณะรัฐมนตรี 11 พฤษภาคม 2542 เรื่อง การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับที่ดิน สัญชาติ และสถานะบุคคลของผู้อพยพเข้ามาในประเทศไทย มีรายละเอียดสำคัญให้มีการ “พิสูจน์สิทธิการถือครองที่ดิน” ของคนไทยภูเขาในพื้นที่ป่า โดยให้ใช้ภาพถ่ายทางอากาศ และ พยานบุคคลเป็นหลักฐาน รวมถึงจัดการให้เร่งรัดพิจารณาคำร้องขอสัญชาติไทย แก่ผู้ตกหล่นจากการสำรวจ โดยต้องดำเนินการให้เสร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนด

ในวันนั้น ชุติมาไม่ได้ไปในฐานะแกนนำ ยังคงไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับกฎหมาย เธอไปในฐานะคนแปลภาษาอ่าข่า แต่ด้วยความอัดอั้นที่เห็นพี่น้องถูกจับเรื่องที่ดิน ถูกจำกัดการเดินทางข้ามอำเภอ และถูกปฏิเสธสัญชาติ ความชัดเจนในการสื่อสารของเธอ ทำให้แกนนำขณะนั้นกล่าวว่า “มึงไม่ต้องแปลแล้ว ขึ้นไปพูดเองเลย!” และนั่นคือวินาทีที่เจ้าหน้าที่ระดมทุน ได้ร่วมเป็นฟันเฟืองของการเรียกร้องสิทธิครั้งแรก

ขึ้นชื่อว่ารัฐ อาจใหญ่เกินไปสำหรับเรื่องเล็ก ๆ และเล็กเกินไปสำหรับเรื่องใหญ่ ๆ บ่อยครั้งการดำเนินงานไม่เป็นไปตามที่รับปากหรือประชาชนวาดหวัง หลังจากเทียวไล้เทียวขื่อ ยึดยื้อผัดผ่อนจนต้องได้มีการทวงถาม จึงนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องอีกครั้งในปี พ.ศ. 2543 เมื่อมี “หนังสือสั่งการกระทรวงมหาดไทย” ให้กลุ่มคนที่อยู่ระหว่างรอพิสูจน์สัญชาติ สามารถเดินทางภายในเขตจังหวัดได้โดยไม่ต้องขออนุญาตเป็นรายครั้ง (แต่ก็ยังพิสูจน์สัญชาติได้อย่างล่าช้าอยู่)

แม้ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นไปในทางบวก แต่บทบาทจากการชุมนุมที่เกิดขึ้น ทำให้ชีวิตการงานของชุติมาสั่นคลอน เนื่องจากองค์กรตัดสินใจเลิกจ้างเธอ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

“ครั้งแรกในชีวิตที่ถูกยื่นซองขาวเลยนะ กรรมการมติให้ออก เนื่องจากทำหน้าที่ผิดประเภทคือ เป็นเจ้าหน้าที่ระดมทุน แต่ไปช่วยงานภาคสนามเขาบอกว่า หลังจากชุมนุมมีพวกเจ้าหน้าที่รัฐ กอ.รมน. แวะมาบ่อยขึ้นด้วย”

แต่คำว่า “ยอมแพ้” ไม่เคยถูกบัญญัติในพจนานุกรมของชุติมา เธอต่อรองกับองค์กรเพื่อให้ได้ทำในสิ่งที่ต้องการด้วยเหตุผลเสมอ จึงเป็นครั้งแรกของการมี “ฝ่ายงานสิทธิ” ของสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทยเกิดขึ้นโดยชุติมา คือ เจ้าหน้าที่คนแรก

“ตอนนั้นกระบวนการเรื่องสัญชาติ มันล่าช้านะชาวบ้านมาตั้งไกล มารอกันวันละ 2 – 3 พันคน เห็นแบบนั้นก็เลยประกาศชักชวนอาสาสมัคร ที่เขียนภาษาไทยได้ แล้วต้องเขียนสวยด้วย รวมกันได้ 130 คน เพื่อคอยช่วยดำเนินการเรื่องเอกสาร เริ่มตั้งแต่ไปช่วยอำเภอคัดกรอง กรอกเอกสาร ส่งเอกสาร ประสานงานร่วมกับหน่วยงาน … คือเวลาประชาชนเข้าไปติดต่อแรก ๆ เขาก็จะบอกว่าไม่มีคนทำ ไม่มีงบประมาณ เอกสารยังไม่มีบ้างแหละ พวกเราก็คอยช่วยทำหน้าที่อุดช่องว่างนั้น การที่เราไปทำงานสนับสนุน ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ทำ มีพี่น้องชนเผ่าพื้นเมือง มากกว่า 100,000 ราย ได้เข้าถึงกระบวนการพิสูจน์สิทธิสถานะบุคคล”

จากการทำหน้าที่ของชุติมา ที่คล้ายสามารถร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐได้อย่างราบรื่น เธอปฏิเสธชัดเจนว่า ไม่ใช่เพราะได้รับการยอมรับ แต่เป็นเพราะเธอดื้อเอง และไม่ยอมแพ้บนผลประโยชน์ของชาวบ้าน รวมทั้งการไม่รู้กฎหมาย การกล้าเปิดเผยตัวตนเป็นคนไม่มีความรู้อะไรเลย อาจเป็นจุดแข็งที่ทำให้เธอไม่กลัวที่จะพูดความจริง พิสูจน์ข้อเท็จจริง และประสานความร่วมมือกับคนที่มีความรู้เข้าใจมากกว่า เพื่อนำมาซึ่งการช่วยเหลืออย่างรอบด้าน

เธอย้ำชัดแบบจบในหนึ่งบรรทัดว่า ประชาชน ภาคประชาสังคมสามารถร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐได้ และตัวเองไม่เคยมีปัญหาติดใจกับเจ้าหน้าที่ทั้งสิ้น “เราไม่ได้สู้กับเจ้าหน้าที่รัฐคนไหนเลย แต่กำลังสู้กับกฎหมายที่ยังไม่เป็นธรรม”

3. รื้อสร้าง ลดความถ่างของช่องว่าง เริ่มจากกลุ่มอ่าข่า

แม้หนทางการพิสูจน์สิทธิของชาวไทยภูเขาจะถูกฟื้นฟู แต่ดูสวนทางกับชีวิตของชุติมา ที่มีเหตุให้ต้องลี้ภัยจากประเทศไทยไปเป็นเวลากว่า 5 ปี การกลับมายังมาตุภูมิอีกครั้งหลังผ่านช่วงเวลาคล้ายช่องว่างระหว่างบรรทัด ทำให้สายตาเธอเห็นความเสื่อมถอยของรากเหง้าตัวเอง เริ่มจากการใช้ภาษาอ่าข่าลดน้อยลง สาเหตุเพราะต้องปกปิดตัวเองหากอยากได้รับการยอมรับของวัยรุ่น รวมถึงวิถีปฏิบัติที่ยังทำให้ชายและหญิงในเผ่าพันธุ์ตัวเองมีบทบาทแตกต่างกัน

“คือวัฒนธรรมก็ไม่ได้เลวร้ายทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้ดีทั้งหมด เราเริ่มจากการชักชวนผู้หลักผู้ใหญ่มาทำตัวเขียนภาษาอ่าข่า เพื่อจะได้ใช้สื่อสารกัน แล้วจากนั้นก็ต่อยอดมาพูดถึงวิถีชีวิต หลายเรื่องที่ต้องบอกว่ากดทับผู้หญิงปัจจุบันอ่าข่าก็เลิกแล้ว”

เมื่อพยายามขีดเส้นใต้คำว่าเลิกแล้วนั้น พบว่าวิธีการหนึ่งซึ่ง ชุติมา มอแลกู่ ใช้จนประสบผลสำเร็จ คือ การเชื้อเชิญผู้เฒ่าจากหลากหลายตระกูล มาเข้าพิธีรดน้ำดำหัว เธอเริ่มจากการเลี้ยงต้อนรับ จัดโต๊ะจีนให้กับทั้งหญิงชายที่ให้เกียรติมาร่วมงาน จากนั้นจึงสอบถามถึงรสชาติที่ทุกคนได้รับประทาน

“ถ้าตอนมีชีวิตกินอร่อย ทำไมตายไปถึงไม่อยากกินล่ะ ? … คำถามของเราก็มีเท่านี้ เพราะอาหารที่เอามาเลี้ยงก็มาจากลูก จากเมีย จากผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ หากเรายังจำกัดว่า ห้ามผู้หญิงไหว้บรรพบุรุษ แล้วพวกท่านจะได้กินอร่อยแบบตอนมีชีวิตไหมหากบ้านเราไม่มีผู้ชาย”

แม้การท้าทายวิถีประเพณีจะไม่สำเร็จในคราวเดียว แต่ความดื้อ สื่อสารซ้ำไปซ้ำมาอย่างสม่ำเสมอของเธอ ทำให้มีการเลิกห้ามผู้หญิงขี่ม้าปีนต้นไม้ไหว้บรรพบุรุษแล้วอย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ. 2550 แต่อย่างไรก็ตามอ่าข่าในภูมิภาคอุษาคเนย์ ยังมีประชากรกระจายกันอาศัยอยู่ใน 4 ประเทศ ทั้งจีน ไทย เมียนมา เวียดนาม จำนวนรวมมากกว่าแสนราย การเปลี่ยนแปลงเพียงในประเทศไม่ใช่เป้าหมาย และยังไม่เพียงพอสำหรับเธอ จึงได้มีการเริ่มต้นรวมกลุ่มกันในนาม “อ่าข่าเพื่อสันติภาพลุ่มน้ำโขง” โดยเธอระบุว่า วัตถุประสงค์เริ่มต้นจะเป็นการรวมกันเพื่อหล่อหลอมและผลักดันงานในมิติวัฒนธรรม ให้เกิดสันติภาพตลอดจนพิทักษ์ศักดิ์ศรีของชาวอ่าข่า แต่หากใช้สำนวนปัจจุบัน มองจากดวงจันทร์ยังทราบได้…ความหมายของ “วัฒนธรรม” ในใจของใครบางคน อาจหมายถึงการรื้อสร้าง เพื่อลดความถ่างของช่องว่าง โดยเริ่มต้นจากกลุ่มชนเผ่าตัวเอง

4. รางวัลไม่ใช่เส้นชัย แต่เป็นหลักไมล์ของแม่บ้านชื่อชุติมา

ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศชื่อผู้ได้รับรางวัลบุคคดีเด่นด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สิทธิของกลุ่มคนเปราะบางประจำปี 2568  โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ‘ชุติมา มอแลกู่’ ก็ปรากฏตัวขึ้นในชุดประจำเผ่า ประดับเลื่อมเงินแววแพรวระยับเล่นกับไฟไปทั้งตัว …จนเมื่อสิ้นเสียงปรบมือก็มีเสียงถ้อยแถลงของเธอ โดยตอนหนึ่งระบุว่า

ชุติมา มอแลกู่ ขึ้นรับรางวัล ภาพ: กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

“รางวัลนี้ไม่ใช่ของดิฉันคนเดียว แต่เป็นของพี่น้องชนเผ่าพื้นเมืองเรา ที่ต้องต่อสู้เรื่องสิทธิมนุษยชนมากว่า 30 ปี เส้นทางที่ผ่านมานั้นไม่ง่าย เพราะเราไม่รู้กฎหมาย ไม่รู้ภาษา และเรามีอัตลักษณ์ มีภาษาเฉพาะของพี่น้องเรา ขณะที่บรรพบุรุษเราอยู่บนดอย ถูกคนบอกว่าบุกรุกป่า ถูกตราหน้าว่าต่างด้าว แต่นั่นเกิดขึ้นเพราะความเป็นธรรมที่ไม่ทั่วถึงต่อพี่น้องเรา เราไม่ได้ทำงานนี้เพื่อให้คนชนเผ่าพื้นเมืองได้รับอภิสิทธิ์ชน แต่ปกป้องสิทธิของตนเองเพื่อให้มีเหมือนกับประชาชนคนไทยคนหนึ่งเท่านั้น  รางวัลในวันนี้จึงขอมอบให้กับทุกคนด้วย”

การได้รับรางวัลจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ไม่ใช่แค่การสดุดีตัวบุคคล แต่เป็นการยืนยันว่า นักปกป้องสิทธิอาจเป็นใครก็ได้” แม้กระทั่งอดีตแม่บ้านหนึ่งคน ที่ไม่ทนต่อความสงสัยในหัว ทุกวันนี้ ชุติมาในวัยผ่านร้อนผ่านหนาว ยังคงทำงานสม่ำเสมอ เหมือนงานบ้านที่ไม่มีวันจบสิ้น เธอรู้ดี ว่าเมื่อแก้ปัญหาหนึ่งได้ อีกปัญหาอาจรออยู่ข้างหน้า

เขียนและเรียบเรียง : นพพล ไม้พลวง