โรงเรียนมอวาคี พบกระทรวงศึกษาฯ ตามความคืบหน้าเงินอุดหนุนฯ

            เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ชูพินิจ เกษมณี นักวิชาการด้านชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง พร้อมด้วยมานพ คีรีภูวดล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาชน และขันแก้ว รัตนวิไลลักษณ์ ผู้ประสานงานการจัดการความรู้และวิชาการ ได้เดินทางไปพูดคุยเพื่อติดตามความก้าวหน้าเรื่อง การจัดสรรงบประมาณอุดหนุนรายหัวและสิทธิประโยชน์สำหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษาประเภทศูนย์การเรียน ซึ่งเป็นเรื่องที่เคยหารือค้างไว้ตั้งแต่ปลายปีที่ที่แล้ว สำหรับครั้งนี้มี ดร.สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)

คณะผู้แทนจากศูนย์การเรียนมอวาคี ประชุมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

            ชูพินิจได้กล่าวหลังจบการหารือว่ารู้สึกพึงพอใจกับการพูดคุยในวันนี้ โดยสามารถสรุปประเด็นในการหารือได้เป็น 3 เรื่องหลักคือ

  1. การจัดสรรงบอุดหนุนรายหัวสำหรับนักเรียนในศูนย์การเรียนต่างๆ ซึ่งได้รับความคืบหน้าว่าขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการคำนวณว่าศูนย์การเรียนแต่ละแห่ง ควรจะได้รับงบประมาณเท่าไหร่ ซึ่งคาดว่าไม่เกินปี 2569 ที่จะได้รับการสนับสนุน
  2. การจัดตั้งคณะทำงานและคณะกรรมการในสังกัด สพฐ. เพื่อขับเคลื่อนการสนับสนุนและดำเนินงานของศูนย์การเรียน จากการพูดคุยครั้งนี้พบว่ายังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาร่างและสรรหาบุคคลที่เกี่ยวข้องในส่วนต่างๆ
  3. การกำหนดสังกัดของศูนย์การเรียนที่ดำเนินการโดยองค์กรชุมชน ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเป็นทางสำนักทดสอบทางการศึกษา สพฐ. หรือกรมส่งเสริมการเรียนรู้ สกร.
นักเรียนศูนย์การเรียนมอวาคี กำลังเข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้า ก่อนเข้าเรียน

            สำหรับที่มาของการพูดคุยในครั้งนี้ ขันแก้วระบุว่าสืบเนื่องมาจากตัวแทนของศูนย์การเรียนมอวาคี ได้เข้าพบผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 66 เพื่อยื่นหนังสือใน 3 ประเด็นข้างต้น ในครั้งนี้จึงประสงค์ที่จะพูดคุยและปรึกษาหารือถึงความคืบหน้า

            “เงินอุดหนุนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด เพราะเด็กทุกคนควรได้รับสิทธิทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม การไม่ได้รับเงินอุดหนุนก็เท่ากับเป็นการละเมิดสิทธิของเด็กๆ ในการศึกษา”

            ขันแก้วกล่าวพร้อมแสดงความเป็นกังวลว่า หากมีการกำหนดให้ศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนขึ้นตรงกับทางกรมส่งเสริมการเรียนรู้  หรือการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (เดิม) จะส่งผลต่อความต่อเนื่องทางการศึกษา จากการขอใบอนุมัติจบการศึกษาที่ไม่เหมือนกับทางระบบของทางสพฐ.

ศูนย์การเรียนมอวาคีจัดกิจกรรมปัจฉิมนิเทศหรือผูกข้อไม้ข้อมือให้กับเด็กอนุบาล 3 และ ป.6 รุ่นที่ 27 ที่ได้จบการศึกษาในปี 2566

            ทางด้านชูพินิจได้อ้างถึงมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 เรื่องการปรับอัตราเงินอุดหนุนรายหัวตามความจำเป็นพื้นฐาน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้เรียน ซึ่งครอบคลุมถึงการศึกษานอกระบบและการศึกษาทางเลือก แต่จนถึงปัจจุบันชูพินิจยกตัวอย่างที่ศูนย์การเรียนมอวาคี อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ก็ยังไม่ได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าวเลย

            “เรา (ศูนย์การเรียนมอวาคี) จัดตั้งมานานแล้ว และตามกฎหมายเราต้องได้ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในเรื่องของการศึกษา แต่ยังไม่เห็นความคืบหน้าสักทีทั้งที่ศูนย์การเรียนก็มีการจดทะเบียนกับทางพื้นที่แล้ว”

โดยเงินอุดหนุนที่ทางศูนย์การเรียนควรที่จะได้รับนั้นประกอบไปด้วย 5 ด้านอันได้แก่ ️

  1. ค่าจัดการเรียนการสอน
  2. ค่าจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
  3. ค่าหนังสือ
  4. ค่าอุปกรณ์การเรียน
  5. ค่าเครื่องแบบ

            ชูพินิจยกตัวอย่างกรณีของศูนย์การเรียนมอวาคี แม้ว่าจะได้รับทุนสนับสนุนจากภายนอก แต่ก็ไม่สามารถการันตีได้ถึงความยั่งยืนทางการศึกษา จึงมีความจำเป็นที่เงินอุดหนุนส่วนนี้ของภาครัฐ จะสามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายบางส่วนของศูนย์การเรียนได้

ชูพินิจ เกษมณี นักวิชาการด้านชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง

            “เงินอุดหนุนที่เราจะได้แม้จะไม่ครอบคลุมทั้งหมด แต่ก็จะส่งผลดีต่อเด็กหากงบประมาณบางส่วนได้รับการสนับสนุนจากรัฐ” ชูพินิจกล่าว

            โดยหลังจากเสร็จสิ้นการพูดคุย ทาง ดร.สิริพงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการได้ประสานงานไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการในส่วนการสนับสนุนที่ศูนย์การเรียนมีสิทธิจะได้รับ และติดตามความคืบหน้าในส่วนอื่นๆ ที่จะต้องมีการอนุมัติและพิจารณาต่อไป

ณฐาภพ สังเกตุ – รายงาน