
ถึง ท่านนายกรัฐมนตรี
สวัสดีค่ะ หนูชื่อ ด.ญ.พิชญ์สินี เรียนอยู่ชั้นป.6 ที่ศูนย์การเรียนรู้มอวาคี หนูชอบเรียนวิทยาศาสตร์ค่ะ หนูมีความฝันอยากเป็นพยาบาลเพื่อที่จะได้ช่วยเหลือคนในชุมชน วันเด็กปีนี้หนูอยากได้ของขวัญจากท่านคือทุนการศึกษาและค่าอาหารกลางวัน เพราะตอนนี้ที่ศูนย์การเรียนของเรายังไม่ได้งบประมาณ
จาก ด.ญ.พิชญ์สินี
ถ้าทุกโอกาสคือการเรียนรู้ แล้วเมื่อไหร่โอกาสในการศึกษาของประเทศนี้จะเท่าเทียมกัน ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่อยู่เสมอ แม้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ได้กําหนดสิทธิมนุษยชนด้านการศึกษา ไว้ในมาตรา 54 รัฐต้องดําเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย

แต่ในความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ในศูนย์การเรียนรู้ชุมชนทั่วประเทศพบว่า เด็กนักเรียนเหล่านี้ไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากกระทรวงศึกษาธิการ แม้ว่าศูนย์การเรียนรู้เหล่านี้จะได้รับการรับรองแล้วก็ตามที ยกตัวอย่างสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่ศูนย์การเรียนมอวาคี อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ที่กล่าวได้ว่าพวกเขากำลังอยู่ในวิกฤต และรอคอยการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนรายหัวและสิทธิประโยชน์สำหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษาประเภทศูนย์การเรียน โดยยังไม่มีท่าทีว่าจะได้รับโดยเร็ววัน แม้ว่าจะมีการเดินทางไปติดตามทวงถามถึงกระทรวงศึกษาธิการมาหลายครั้งแล้วก็ตามที
และเนื่องในโอกาสวันเด็กประจำปี 2568 ทางศูนย์การเรียนมอวาคีจึงได้จัดกิจกรรมเขียนจดหมายถึงแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เพื่อทวงถามถึงสิทธิการศึกษาอย่างเท่าเทียมที่พวกเขาควรจะได้รับ เพื่อให้สมกับคำขวัญวันเด็กที่นายกคนดังกล่าวได้กล่าวว่า
“ทุกโอกาสคือการเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง”
ภายใต้คำถามว่าแล้วเมื่อไหร่โอกาสในการเรียนรู้ของเด็กทุกคนในประเทศนี้จะเท่าเทียมกัน
เด็กนักเรียน 55 คน ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ต้องประหยัดมากๆ รวมทั้งต้องขอความร่วมมือจากผู้ปกครองให้ช่วยนำวัตถุดิบที่ตนเองมีเช่น หน่อไม้ ฟักทอง เพื่อมาช่วยกันทำอาหารกลางวัน หนำซ้ำยังต้องไปขอบริจาคจากวัดเพื่อช่วยสนับสนุนเป็นค่าเดินทางให้กับนักเรียนที่ต้องการไปเรียนนอกพื้นที่ในระดับชั้นที่สูงขึ้น
30 ปีของการผลักดันงบประมาณรายหัว ความฝันที่ยังไม่ใกล้เป็นจริง
“เราผลักดันเรื่องนี้มา 30 ปี ก็ตอบไม่ได้ว่าเมื่อไหร่จะได้รับงบสนับสนุน ได้แต่เพียงคำว่าจะได้”
ขันแก้ว รัตนวิไลลักษณ์ ผู้ประสานงานการจัดการความรู้และวิชาการสมาคม IMPECT ที่เป็นผู้ร่วมผลักดันนโยบายการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนรายหัวและสิทธิประโยชน์สำหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษาประเภทศูนย์การเรียนกล่าว โดยในตอนนี้เธอได้พยายามขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวผ่านเครือข่ายการศึกษาทางเลือกประเทศไทย ที่รวบรวมศูนย์การเรียนรู้ทั่วประเทศมาผลักดันเรื่องนี้ด้วยกัน

ความคืบหน้าล่าสุดพบว่า มีการพิจารณาจัดตั้งคณะทำงานของเครือข่ายฯ เพื่อเข้าไปดูรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณรายหัว รวมทั้งตอนนี้เขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ ภายใต้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เริ่มมีการเก็บข้อมูลนักเรียนของศูนย์การเรียนทั่วประเทศ เพื่อเข้าสู่ระบบจัดเก็บข้อมูลนักเรียนรายบุคคล – DMC อันนำมาซึ่งสิทธิประโยชน์ทางการศึกษาที่เด็กนักเรียนในศูนย์การเรียนสมควรที่จะได้รับเฉกเช่นเด็กนักเรียนทั่วไป
“ตอนนี้เหมือนเด็กนักเรียนในศูนย์การเรียนยังไม่มีบ้าน ถ้าได้รหัสนี้มาพวกเขาจะได้มีบ้านเหมือนเด็กคนอื่น”
ขันแก้วกล่าวโดยบอกต่อว่าเธอพยายามร่วมติดตามและวางแผนการทำงานขับเคลื่อนนโยบายนี้ต่อ ทั้งในระดับภาพรวมศูนย์การเรียนทั่วประเทศ และการเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนศูนย์การเรียนเป็นแห่งๆ ยกตัวอย่างเช่นที่ ศูนย์การเรียนมอวาคี ที่ทางบุญชัย นิรุชากุล ครูใหญ่ของศูนย์การเรียน ได้กล่าวด้วยความสิ้นหวัง ต่อความไม่จริงใจที่รัฐปล่อยปละละเลยศูนย์การเรียนของเขาและศูนย์การเรียนอื่นๆ ทั่วประเทศให้ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยตนเอง
ชะตากรรมศูนย์การเรียน สิทธิทางการศึกษาที่รัฐไม่เหลียวมอง
“เราจะจัดการศึกษาที่มีคุณภาพให้เด็กได้อย่างไรกัน ตราบใดที่รัฐยังไม่เหลียวมองช่วยเหลือเราอยู่แบบนี้”
บุญชัย ในฐานะครูใหญ่ของศูนย์การเรียนมอวาคีกล่าว ตลอด 10 กว่าปีที่เขาทำหน้าที่ตรงนี้ เขาเล่าว่าพยายามติดตามความคืบหน้าเรื่องของการจัดสรรงบประมาณรายหัวให้กับเด็กนักเรียนมาโดยตลอด อย่างล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 คณะผู้แทนจากศูนย์การเรียนมอวาคี ได้ประชุมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แต่จนถึงปัจจุบันบุญชัยก็ยังไม่เห็นความคืบหน้าหรือเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม

“เราไปด้วยความหวังทุกครั้ง” บุญชัยกล่าวถึงความหวังที่เขาจะได้รับงบประมาณจากกระทรวงศึกษาธิการมาจัดการศูนย์การเรียน “แต่ไปทุกรอบก็ไม่เคยได้ ผมจึงใช้โอกาสวันเด็กปีนี้ ให้เด็กของเราสื่อสารไปถึงนายกรัฐมนตรี”
เมื่อมีโอกาสได้อ่านจดหมายของเด็กนักเรียนที่ศูนย์การเรียนมอวาคีก็พบว่า พวกเขาต่างมีความฝันที่หลากหลาย ทั้งอยากเป็นครู พยาบาล หรือแม้กระทั่งความฝันง่ายๆ อย่างอยากมีสนามฟุตบอล อยากมีอุปกรณ์การเรียนเหมือนเด็กทั่วไป
ดังนั้นการเรียกร้องครั้งนี้จึงไม่ใช่การเรียกร้องเพื่อใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการเรียกร้องให้เด็กนักเรียนทุกคนในประเทศไทย ให้มีโอกาสได้รับงบสนับสนุนรายหัวอย่างที่ควรจะได้
“ในเมื่อรัฐอนุมัติศูนย์การเรียนให้จัดตั้งการศึกษาได้ถูกต้องตามกฎหมาย มีหนังสือรับรองจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา แต่ทำไมหลังจากอนุมัติการจัดตั้งถึงปล่อยให้เราจัดการศึกษากันเอง”
ครูใหญ่ของศูนย์การเรียนมอวาคีตั้งคำถาม โดยกล่าวถึงความจำเป็นของศูนย์การเรียน ที่ไม่ใช่การปฏิเสธระบบการศึกษาหลักสูตรแกนกลาง แต่ที่พวกเขาจัดตั้งศูนย์การเรียนเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อที่จะออกแบบการศึกษาทางเลือกที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของพวกเขา โดยที่ผ่านมาก็ได้รับการสนับสนุนและรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ เด็กที่จบการศึกษาสามารถออกเอกสารการประเมินผลตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่สามารถนำไปใช้เรียนต่อในระดับมัธยมได้ เพียงแต่ว่ายังขาดการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐ
“เมื่อไม่มีงบประมาณ เราไม่ต้องพูดถึงคุณภาพการศึกษา แม้แต่จำนวนครูเรายังไม่มีปัญญาจ้างให้เพียงพอ ทั้งยังต้องหาค่าใช้จ่ายมาเพื่อให้เป็นค่าอาหารกลางวัน และสื่อการเรียนการสอนของเด็กอีก”
บุญชัยอธิบายว่าเดือนหนึ่ง เขาจะต้องจัดหางบประมาณด้วยตนเองให้ได้อย่างน้อย 30,000 บาทสำหรับ


“อันไหนที่เราทำกันเองได้เราไม่เคยเรียกร้อง เพียงแต่ว่าสื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์การเรียน มันจำเป็นต้องซื้อ”
และด้วยความที่นักเรียนของศูนย์การเรียนมอวาคี ทั้งหมดเป็นชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ที่มาจาก ต.แม่วิน ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร ที่ไม่มีระบบน้ำเพียงพอที่จะทำการเกษตร ทำให้คนในพื้นที่แห่งนี้ประสบกับปัญหาความยากจน การศึกษาจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับอนาคตของเด็กที่นี่
“การศึกษาขั้นพื้นฐานคือสิทธิขั้นพื้นฐานที่เด็กทุกคนควรจะได้รับการสนับสนุน”
บุญชัยย้ำถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่ในเมื่อยังมีเด็กบางกลุ่ม โดยเฉพาะกับกลุ่มเด็กชาติพันธุ์ที่มักเรียนอยู่ตามศูนย์การเรียน และตราบใดที่พวกเขายังคงไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนรายหัวและสิทธิประโยชน์สำหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก็จะยังคงเป็นภาระให้กับบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่ ที่จะต้องจัดการเรียนการสอนให้กับเด็กเหล่านี้โดยปราศจากการช่วยเหลือจากรัฐ และบุญชัยก็ได้แต่หวังว่าจดหมายที่เด็กนักเรียนของเขาจะส่งไปถึงนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เธอคงได้เปิดอ่านและได้รับรู้ว่ายังมีเด็กอีกมากมายในศูนย์การเรียนทั่วประเทศที่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนการศึกษาขั้นพื้นฐานดั่งที่ควรจะได้รับสิทธินั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง